1. ออมก่อนค่อยใช้จ่าย 
คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้น้องๆ มีวินัยในการออมและทำบัญชีรับจ่ายในแต่ละวัน เพื่อจะได้ทราบว่าการที่เราไม่มีเงินเหลือเก็บ เป็นเพราะเงินหมดไปกับสิ่งใด? จำเป็นหรือไม่? หากสิ่งนั้นไม่จำเป็นก็ควรปรับลด และในปัจจุบันการเก็บออมก็ทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว น้องๆ อาจใช้บริการเงินฝากแบบ e-Saving ซึ่งให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากแบบทั่วไป หรืออาจจดบัญชีรับจ่ายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่คุ้นเคยและให้ความสนใจ

2. เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Need กับ Want
น้องๆ หลายคนเมื่อไปโรงเรียน เห็นเพื่อนๆ มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็อยากที่จะมีบ้าง ไม่ว่าจะเป็นแกดเจ็ตต่างๆ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต กล้องถ่ายรูป เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจของเด็กรุ่นใหม่ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนน้องๆ ก็คือ ให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Need กับ Want และแยกให้ออกว่าควรใช้เงินกับสิ่งใด ซึ่ง Need จะหมายถึงสิ่งที่จำเป็น หากไม่มีสิ่งนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเรา และ Want หมายถึงสิ่งที่ต้องการอยากได้ ซึ่งหากไม่มีก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร เราอาจแค่อยากได้ตามเพื่อนๆ หากสิ่งที่น้องๆ อยากได้มีราคาค่อนข้างแพง คุณพ่อคุณแม่อาจลองให้น้องๆ เก็บออมเงินเพื่อซื้อสิ่งนั้นด้วยตัวเองหรืออาจช่วยเพียงบางส่วน เพื่อจะได้ให้น้องๆ เห็นคุณค่าและถนอมรักษาในสิ่งที่ได้มา

3. ส่งเสริมความชอบให้เกิดเป็นรายได้
น้องๆ หลายคนสามารถหารายได้เองได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ตนเองชอบ สนใจ ผ่านการสนับสนุนจากพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น เราจะเห็นเด็กบางคนเป็น YouTuber ตัวจิ๋วรีวิวสินค้า เด็กบางคนสนใจเรื่องการเงินการลงทุนและมีความฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ เด็กบางคนสามารถที่จะ Live ช่วยคุณพ่อคุณแม่ขายของ เด็กบางคนมีความสามารถในการวาดภาพ ทำอาหาร เต้น การแสดง และอีกหลายๆ ความสามารถ ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากได้รับการสนับสนุนก็อาจกลายเป็นทักษะความชำนาญ และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับพวกเขาเมื่อยามโตขึ้น สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่จะต้องเป็นผู้ช่วยค้นหาความสนใจความสามารถ และคอยสนับสนุนพวกเขานั่นเอง

วันเด็กปีนี้ อย่าลืมนำเรื่องการเงินดีๆ เหล่านี้ ไปพูดคุยกับบุตรหลานของคุณ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า น่าจะเป็นของขวัญวันเด็กที่มีค่ากับพวกเขา…สุขสันต์วันเด็ก

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม