Money

จับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2022: Omicron กระทบเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน ?

Post by | Admin

Omicron_Impact_628x443


Key Takeaways:

  • KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรประเมินว่าการระบาดของโอไมครอนในไทยจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและรุนแรง แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะน้อยกว่าการระบาดในรอบก่อน จากการระบาดที่มีแนวโน้มจบลงได้เร็วและทิศทางนโยบายภาครัฐในหลายประเทศที่เริ่มปรับตัวจากการป้องกันไม่ให้มีการติดโควิดเป็นการอยู่ร่วมกับโควิดมากขึ้น
  • คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในระยะสั้น แต่มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อสถานการระบาดปรับตัวดีขึ้น การบริโภคและการลงทุนน่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงแต่ผลกระทบน่าจะน้อยกว่าการระบาดรอบก่อน โดยอาจทำให้การบริโภคและการลงทุนหดตัวลงได้ 1%-2% ในเดือนที่มีการระบาด การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติจะชะลอตัวได้ในระยะสั้น ตามมาตรการของรัฐ แต่ยังคงจำนวนการคาดการนักท่องเที่ยวทั้งน่าจะยังสามารถกลับมาได้ในช่วงครึ่งหลังของปีที่ 5.8 ล้านคน
  • ในภาวะที่โลกมีความไม่แน่นอนสูงและการคาดการณ์เศรษฐกิจทำได้ยากขึ้น ทำให้ยังต้องจับตามองความเสี่ยงของการระบาดของโควิดแบบรุนแรงซึ่งอาจเกิดจากการจัดการระบบสาธารณสุขที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐและการระบาดที่สามารถเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว การขนส่ง และการค้าเป็นหลัก ในกรณีเลวร้ายที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถกลับเข้ามาได้ตลอดทั้งปี KKP Research ประเมินว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่ำกว่า 2% จากการคาดการณ์ปัจจุบันที่ 3.9%
คลิกเพื่ออ่านต่อ

ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตน้ำแล้งที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2019 และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นในปี 2020 คำถามสำคัญคือ วิกฤตในครั้งนี้เกิดจากอะไร มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร  บทวิเคราะห์ของ KKP Research จะตอบคำถามเหล่านี้

วิกฤตน้ำแล้งปีนี้รุนแรงแค่ไหน?

สัญญาณภัยแล้งในปีนี้ปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง มีสาเหตุหลักจากปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน (ภัยแล้ง) ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 ส่งผลให้ในปีถัดมาเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนนาน 2 เดือน (มิ.ย.–ก.ค. 2019) ปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10% และปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลของพายุโซนร้อนในปี 2019 ไม่ว่าจะเป็น “วิภา” "โพดุล" และ "คาจิกิ" ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และบางพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ฝนที่ตกส่วนใหญ่ตกในพื้นที่ใต้เขื่อนจึงไม่ได้ช่วยเติมน้ำในเขื่อนเท่าใดนัก และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง (เริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์) จึงทำให้ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ หรือ “น้ำต้นทุน” ต่ำกว่าความต้องการใช้จริง

จากข้อมูลของคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ณ วันที่ 20 ก.พ. 2020 พบว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา (4 เขื่อนหลัก) อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่าภัยแล้งปี 2015-16 (รูปที่ 1) และหากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคพบว่า ภาคกลางน่าเป็นกังวลมากที่สุด เนื่องจากระดับน้ำของทั้ง 3 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนป่าสักฯ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับเสลา อยู่ในระดับต่ำที่ 19% – 22% ของความจุสูงสุดของเขื่อน ซึ่งต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีตและระดับน้ำในวันเดียวกันเมื่อปี 2016 หลายเขื่อนในภาคเหนือประสบกับปัญหาน้ำน้อยด้วยเช่นกัน มีเพียงภาคตะวันตกที่สถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ดี (รูปที่ 2)

ระดับน้ำต้นทุนที่ต่ำต่อเนื่องมาจากปีก่อน และปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักที่อยู่ในเกณฑ์น้อยและเริ่มแห้งขอด จะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ลากยาวไปจนถึงเดือน มิ.ย. เทียบเคียงได้กับวิกฤตภัยแล้งในปี 2016 แต่ปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ย่ำแย่ไปกว่าปี 2016 คือ ภาวะน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้จำเป็นต้องระบายน้ำในเขื่อนเพื่อใช้เจือจางและผลักดันน้ำเค็มที่รุกล้ำเข้ามา ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่จะได้รับการจัดสรรสำหรับเกษตรกรรมน้อยลงจนอาจเข้าขั้นวิกฤต นอกจากนี้ หากในช่วงครึ่งปีหลังปริมาณฝนยังคงต่ำกว่าค่าปกติ อาจยิ่งทำให้สถานการณ์ในปี 2020 รุนแรงกว่าภัยแล้งที่เคยเกิดในปี 2016

# อื่นๆที่น่าสนใจ

แนะนำจากบทความ
06 ก.ย. 2564
ชะตาเศรษฐกิจไทย ใต้เงาสงครามเทคโนโลยี
Economic
08 พ.ย. 2564
เมื่ออุตสาหกรรมแข่งไม่ไหว หรือภาคบริการคือคำตอบของไทย
Economic
08 พ.ย. 2564
ธุรกิจและนักลงทุนไทยจะเป็นอย่างไรเมื่อจีนดำเนินนโยบาย common prosperity
Economic