Money

ธุรกิจและนักลงทุนไทยจะเป็นอย่างไรเมื่อจีนดำเนินนโยบาย Common Prosperity

Post by | Admin

Common_Prosperity_Info_628


Key Takeaways:

  • KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรประเมินว่าการแทรกแซงจากรัฐบาลจีนและการออกมาตรการในหลายด้านภายใต้นโยบาย Common Prosperity จะส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนและเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจและนักลงทุนไทยมองข้ามไม่ได้จาก 1) นักลงทุนไทยไปลงทุนในจีนจำนวนมาก 2) จีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย 3) จีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของไทย 4) ผลกระทบต่อความมั่นคงของเอเชียจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
  • มาตรการภาครัฐจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการกำกับดูแลธุรกิจภาคเอกชน กลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงจากมาตรการภาครัฐสูงคือ กลุ่มเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่มีการผูกขาดและสะสมข้อมูลที่มีความสำคัญและหวั่นไหวมาก กลุ่ม Fintech ที่อาจกระทบเสถียรภาพทางการเงิน กลุ่มการศึกษาและสุขภาพที่อาจถูกควบคุมราคา และกลุ่มเกมส์และงานบันเทิงที่อาจบั่นทอนผลิตภาพของเยาวชนในระยะยาว
  • มาตรการต่างๆ เช่น นโยบายควบคุมการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงในปีหน้า เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญอย่างยิ่งและมีขนาดใหญ่ถึง 28.7% ของเศรษฐกิจจีนทั้งหมด
  • การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบสืบเนื่องมายังเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการค้าที่ไทยมีการส่งออกมูลค่าเพิ่มไปยังภาคการลงทุนและภาคการบริโภคในสัดส่วนสูงคิดเป็น 5.6% ของ GDP นอกจากนี้การลงทุนจากจีนมายังไทย และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมายังไทยอาจลดลงในระยะยาว หรือ จำนวนนักท่องเที่ยวไม่กลับไปยังระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ 11 ล้านคนต่อปี
คลิกเพื่ออ่านต่อ

ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตน้ำแล้งที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2019 และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นในปี 2020 คำถามสำคัญคือ วิกฤตในครั้งนี้เกิดจากอะไร มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร  บทวิเคราะห์ของ KKP Research จะตอบคำถามเหล่านี้

วิกฤตน้ำแล้งปีนี้รุนแรงแค่ไหน?

สัญญาณภัยแล้งในปีนี้ปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง มีสาเหตุหลักจากปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน (ภัยแล้ง) ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 ส่งผลให้ในปีถัดมาเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนนาน 2 เดือน (มิ.ย.–ก.ค. 2019) ปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10% และปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลของพายุโซนร้อนในปี 2019 ไม่ว่าจะเป็น “วิภา” "โพดุล" และ "คาจิกิ" ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และบางพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ฝนที่ตกส่วนใหญ่ตกในพื้นที่ใต้เขื่อนจึงไม่ได้ช่วยเติมน้ำในเขื่อนเท่าใดนัก และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง (เริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์) จึงทำให้ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ หรือ “น้ำต้นทุน” ต่ำกว่าความต้องการใช้จริง

จากข้อมูลของคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ณ วันที่ 20 ก.พ. 2020 พบว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา (4 เขื่อนหลัก) อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่าภัยแล้งปี 2015-16 (รูปที่ 1) และหากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคพบว่า ภาคกลางน่าเป็นกังวลมากที่สุด เนื่องจากระดับน้ำของทั้ง 3 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนป่าสักฯ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับเสลา อยู่ในระดับต่ำที่ 19% – 22% ของความจุสูงสุดของเขื่อน ซึ่งต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีตและระดับน้ำในวันเดียวกันเมื่อปี 2016 หลายเขื่อนในภาคเหนือประสบกับปัญหาน้ำน้อยด้วยเช่นกัน มีเพียงภาคตะวันตกที่สถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ดี (รูปที่ 2)

ระดับน้ำต้นทุนที่ต่ำต่อเนื่องมาจากปีก่อน และปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักที่อยู่ในเกณฑ์น้อยและเริ่มแห้งขอด จะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ลากยาวไปจนถึงเดือน มิ.ย. เทียบเคียงได้กับวิกฤตภัยแล้งในปี 2016 แต่ปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ย่ำแย่ไปกว่าปี 2016 คือ ภาวะน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้จำเป็นต้องระบายน้ำในเขื่อนเพื่อใช้เจือจางและผลักดันน้ำเค็มที่รุกล้ำเข้ามา ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่จะได้รับการจัดสรรสำหรับเกษตรกรรมน้อยลงจนอาจเข้าขั้นวิกฤต นอกจากนี้ หากในช่วงครึ่งปีหลังปริมาณฝนยังคงต่ำกว่าค่าปกติ อาจยิ่งทำให้สถานการณ์ในปี 2020 รุนแรงกว่าภัยแล้งที่เคยเกิดในปี 2016

# อื่นๆที่น่าสนใจ

แนะนำจากบทความ
06 ก.ย. 2564
ชะตาเศรษฐกิจไทย ใต้เงาสงครามเทคโนโลยี
Economic
02 พ.ย. 2564
เศรษฐกิจไทยเดินหน้าหลังเปิดประเทศ แต่ท้องฟ้ายังมีเมฆมาก
Economic
08 พ.ย. 2564
เมื่ออุตสาหกรรมแข่งไม่ไหว หรือภาคบริการคือคำตอบของไทย
Economic