Money
เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด
refinance กับ retention
แบบไหนดีกว่ากัน
Post by | Admin

เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด refinance กับ retention แบบไหนดีกว่ากัน
สินเชื่อประเภทที่อยู่อาศัยถือว่าเป็นสินเชื่อที่ใช้เวลาในการผ่อนชำระค่อนข้างนาน ทำให้หลายคนมีวิธีจัดการหนี้สินระยะยาวนี้แตกต่างกันออกไป และมักจะเกิดคำถามต่างๆว่า การย้ายจากสถาบันการเงินเดิม ไปอยู่กับธนาคารใหม่ ที่เรียกว่าการ “รีไฟแนนซ์” หรือการขอสถาบันการเงินเดิมลดดอกเบี้ย ที่เรียกว่าการ รีเทนชั่น แบบไหนจะดีกว่ากัน วันนี้ KKP ADVICE CENTER มีข้อมูลการเปรียบเทียบระหว่าง รีไฟแนนซ์กับรีเทนชั่นมาฝากกัน เรียกได้ว่าหมัดต่อหมัดกันเลยทีเดียว
ทำความรู้จัก Refinance และ Retention
รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การขอยื่นกู้สินเชื่อบ้านกับธนาคารใหม่ เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยบ้านต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ยอดผ่อนต่อเดือนน้อยลงและผ่อนบ้านได้หมดไวยิ่งขึ้น
รีเทนชั่น (Retention) คือ การขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิม เมื่อคุณผ่อนบ้านในอัตราดอกเบี้ยคงที่จนครบ 3 ปีแล้ว จะสามารถทำการยื่นเรื่องกับธนาคารเดิมที่ตนเองกู้บ้านเพื่อขอต่อรองอัตราดอกเบี้ยใหม่
ความแตกต่างของ Refinance และ Retention
รีไฟแนนซ์ และ รีเทนชั่น แตกต่างกันอย่างไร Retention เป็นการติดต่อขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ในขณะที่ Refinance เป็นการนำที่อยู่อาศัยที่ผู้กู้ผ่อนชำระอยู่มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อใหม่ เพื่อนำเงินมาปิดหนี้ยอดเงินกู้เดิมที่ยังเหลืออยู่ ทำให้หนี้ของเรากับเจ้าหนี้ ซึ่งก็คือธนาคารหรือสถาบันการเงินเดิมนั้นสิ้นสุดลง พร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของหนี้ใหม่กับธนาคารหรือสถาบันการเงินใหม่
This is heading element
.jpg)
รีเทนชั่น มีความสะดวกในการขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มากกว่า ส่วนการรีไฟแนนซ์ จะมีโอกาสในการเลือกอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้หลากหลายกว่า โดยผู้กู้ควรเลือกอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในเงื่อนไขที่ดีที่สุด และอาจขอคำปรึกษากับสถาบันการเงินที่กู้อยู่เดิมก่อนเพื่อขอเปรียบเทียบดอกเบี้ยของ รีเทนชั่น ก่อนที่จะดำเนินการ รีไฟแนนซ์ ก็ได้
และหากเลือกวิธี รีไฟแนนซ์ ก็ควรทราบเกี่ยวกับการลดภาระผ่อนบ้านและสิ่งที่ต้องพิจารณาต่างๆ ในการทำ รีไฟแนนซ์ เพิ่มเติม เพื่อความมั่นใจว่าจะเป็นวิธีที่คุ้มค่าที่สุดและควรเลือกสถาบันการเงินที่เหมาะสมที่สุดในการทำ รีไฟแนนซ์
ดังนั้น ถ้าถามว่าเลือกแบบไหนระหว่าง Retention vs Refinance ก็ต้องขึ้นอยู่กับการวางแผนการใช้เงินของแต่ละคน หากจะเป็นหนี้ ก็ขอให้เป็นหนี้ที่มีคุณภาพ และที่สำคัญสัดส่วนการผ่อนชำระหนี้ที่ดีนั้นไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้แต่ละเดือนของเราไม่ลำบาก แถมสามารถมีเงินเก็บเพื่อใช้หมุนเวียน หรือเงินออมไว้ในอนาคต