1. ใช้พื้นที่จัดเก็บสินค้าร่วมกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย – (พันธมิตรกับ คู่แข่ง , คู่ค้า )
เมื่อยอดขายลดลงและคุณได้ประมาณการณ์แล้วว่า ต้องสต๊อคสินค้าลดลงแต่ขณะเดียวกันหากคุณมีพื้นที่จัดเก็บที่เหลืออยู่คุณก็สามารถแชร์พื้นที่นั้นๆ กับคู่แข่งหรือคู่ค้าของคุณได้ เพราะนอกจากจะทำให้คุณได้รายได้จากแบ่งพื้นที่ว่างให้เช่าได้แล้ว ก็ยังอาจจะเป็นผลดีหากคู่ค้าเลือกเก็บวัตถุดิบที่คุณต้องใช้ไว้ในพื้นที่คุณ ซึ่งคุณจะได้ประโยชน์ในการใช้วัตถุดิบที่เร็วขึ้น ประหยัดเวลาขนส่งเพราะอยู่ในพื้นที่ของคุณเอง

2. การร่วมมือกันออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด – (พันธมิตรกับบริษัทชั้นนำ)
การออกสินค้าใหม่ๆ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายกิจการนำมาใช้เพื่อให้ลูกค้าได้รับความรู้สึกไม่จำเจ และยังเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้โตขึ้นได้ด้วย ซึ่งการร่วมมือกันจะสร้างให้เกิดมุมมองแนวคิดใหม่ๆ ทั้งในเรืองการใช้งาน ประโยชน์สำหรับลูกค้า รวมถึงเกิดเอกลักษณ์เฉพาะ เป็น Limited Edition หรือหวังผลในเรื่องของการสร้างกระแสในตลาด โดยส่วนใหญ่จะใช้จุดเด่นและจุดแข็งมารวมกันเป็นสินค้า ตัวอย่างเช่น Brand รองเท้าหรือกระเป๋า ที่จัดมือกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังในการออก Collection ใหม่ขึ้น หรือการออกแบบที่ฉีกไปจากรูปแบบเดิมๆ ซึ่งจะช่วยให้ผลักดันสินค้าของคุณโดดเด่นและทันสมัยมากขึ้นอีกด้วย

3. การร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือลูกค้าสร้างภาพลักษ์ที่ดี – (พันธมิตรกับองค์กรไม่แสวงหากำไร)
มหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานวิจัยต่างๆ ล้วนเป็นหนึ่งองค์กรที่เราไม่ควรมองข้ามเพราะนอกจากจะทำให้เราได้มีโอกาสเข้าถึงผลงานวิจัยหรือเทคโนโลยีแล้ว คุณยังสามารถพึ่งพาหน่วยงานเหล่านี้ในการช่วยเหลือหรือส่งต่อความรู้ไปยังลูกค้าของคุณได้ ซึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรแบบที่คุณไม่ต้องใช้งบมากมาย

4. การร่วมมือกันออกแคมเปญส่งเสริมการขาย – (พันธมิตรกับบริษัทชั้นนำ)
แคมเปญส่งสริมการขายการให้สิทธิพิเศษของลูกค้าของแต่ละฝ่ายเป็นเครื่องมือที่หลายๆ ที่มักจัดทำขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่เห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งก็มีหลายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวก็มี แต่ทั้งนี้ธุรกิจต้องเข้าใจในตัวลูกค้าเป็นอย่างดีซึ่งจะมีผลต่อการเลือกพันธมิตรในการเสนอแคมเปญดังกล่าวได้ตรงใจลูกค้า

ธนาคารเกียรตินาคินภัทรก็มีดีลพิเศษจากบริษัทชั้นนำ หนึ่งในภิสิทธิ์เฉพาะลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอีของธนาคารภายใต้ KKP SME ฟรีโซลูชั่น ใช้สิทธิ์ได้แล้ววันนี้

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม