Money

เมื่อธนาคารกลางเริ่มแตะเบรก: จาก QE สู่ QT

Post by | Admin

FED_Quantitative_Tightening_628x443


Key Takeaways:

  • เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ความจำเป็นที่ธนาคารกลางจะต้องเหยียบคันเร่งโดยการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและอัดฉีดสภาพคล่องแบบไม่จำกัดเริ่มหมดไป สัญญาณจากเศรษฐกิจที่เริ่มกลับสู่ภาวะปกติและแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี และมากกว่าคาดกำลังกดดันให้ธนาคารกลางเริ่มต้องนำนโยบายการเงิน “กลับสู่ภาวะปกติ” โดยการเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเริ่มถอนสภาพคล่องออกจากระบบ โดยลดขนาดของงบดุลลง หรือเรียกว่า Quantitative Tightening (QT)
  • KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในการประชุมเดือนมีนาคม และปรับอัตราดอกเบี้ยรวม 1.75% ในปีนี้ และมีโอกาสขึ้นต่อเนื่องอีกในปีหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปที่ 1.75-2.0% ในสิ้นปีนี้ และ 2.75-3.0% ในสิ้นปีหน้า
  • นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐ น่าจะเริ่มลดขนาดของงบดุลในช่วงกลางปี และอาจจะลดงบดุลลงถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในสองปีข้างหน้า ในขณะที่ธนาคารกลางใหญ่อื่นๆ กำลังขยับไปในทิศทางเดียวกัน
  • แนวโน้มดอกเบี้ยที่กำลังเป็นขาขึ้น และภาวะสภาพคล่องล้นกำลังจะผ่านไป และกำลังจะมีแนวโน้มลดลง จะเป็นความท้าทายสำคัญต่อเศรษฐกิจและการลงทุน สินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากสภาพคล่องล้น เช่น สินทรัพย์ที่พึ่งพากระแสเงินสดในอนาคตยาวๆ สินทรัพย์ที่มี valuation สูง สินทรัพย์ที่คล้ายฟองสบู่ จะมีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น
  • สำหรับประเทศไทยความท้าทายสำคัญจะมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าประเทศอื่นๆในขณะที่กำลังเจอแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ สภาพคล่องที่กำลังลดลง ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาทจะเป็นความท้าทายต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
คลิกเพื่ออ่านต่อ

ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตน้ำแล้งที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2019 และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นในปี 2020 คำถามสำคัญคือ วิกฤตในครั้งนี้เกิดจากอะไร มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร  บทวิเคราะห์ของ KKP Research จะตอบคำถามเหล่านี้

วิกฤตน้ำแล้งปีนี้รุนแรงแค่ไหน?

สัญญาณภัยแล้งในปีนี้ปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง มีสาเหตุหลักจากปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน (ภัยแล้ง) ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 ส่งผลให้ในปีถัดมาเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนนาน 2 เดือน (มิ.ย.–ก.ค. 2019) ปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10% และปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลของพายุโซนร้อนในปี 2019 ไม่ว่าจะเป็น “วิภา” "โพดุล" และ "คาจิกิ" ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และบางพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ฝนที่ตกส่วนใหญ่ตกในพื้นที่ใต้เขื่อนจึงไม่ได้ช่วยเติมน้ำในเขื่อนเท่าใดนัก และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง (เริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์) จึงทำให้ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ หรือ “น้ำต้นทุน” ต่ำกว่าความต้องการใช้จริง

จากข้อมูลของคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ณ วันที่ 20 ก.พ. 2020 พบว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา (4 เขื่อนหลัก) อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่าภัยแล้งปี 2015-16 (รูปที่ 1) และหากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคพบว่า ภาคกลางน่าเป็นกังวลมากที่สุด เนื่องจากระดับน้ำของทั้ง 3 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนป่าสักฯ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับเสลา อยู่ในระดับต่ำที่ 19% – 22% ของความจุสูงสุดของเขื่อน ซึ่งต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีตและระดับน้ำในวันเดียวกันเมื่อปี 2016 หลายเขื่อนในภาคเหนือประสบกับปัญหาน้ำน้อยด้วยเช่นกัน มีเพียงภาคตะวันตกที่สถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ดี (รูปที่ 2)

ระดับน้ำต้นทุนที่ต่ำต่อเนื่องมาจากปีก่อน และปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักที่อยู่ในเกณฑ์น้อยและเริ่มแห้งขอด จะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ลากยาวไปจนถึงเดือน มิ.ย. เทียบเคียงได้กับวิกฤตภัยแล้งในปี 2016 แต่ปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ย่ำแย่ไปกว่าปี 2016 คือ ภาวะน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้จำเป็นต้องระบายน้ำในเขื่อนเพื่อใช้เจือจางและผลักดันน้ำเค็มที่รุกล้ำเข้ามา ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่จะได้รับการจัดสรรสำหรับเกษตรกรรมน้อยลงจนอาจเข้าขั้นวิกฤต นอกจากนี้ หากในช่วงครึ่งปีหลังปริมาณฝนยังคงต่ำกว่าค่าปกติ อาจยิ่งทำให้สถานการณ์ในปี 2020 รุนแรงกว่าภัยแล้งที่เคยเกิดในปี 2016

แนะนำจากบทความ
24 ม.ค. 2565
จับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2022: Omicron กระทบเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน ?
Economic
07 ก.พ. 2565
จับตาเงินเฟ้อโลกและไทย ความเสี่ยงใหญ่ของเศรษฐกิจปี 2022
Economic