Money

จับตาเงินเฟ้อโลกและไทย ความเสี่ยงใหญ่ของเศรษฐกิจปี 2022

Post by | Admin

Global_and_Thai_Inflation_628x443


Key Takeaways:

  • KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ โดยปรับประมาณการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 2022 เป็น 2.3% ซึ่งเกิดจาก 3 เหตุผลหลักคือ 1) ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากการกลับมาเปิดเมืองและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 2) ราคาอาหาร ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาสุกรจากปัญหาโรคระบาดในประเทศ และ 3) ฐานของราคาค่าน้ำและค่าไฟที่อยู่ในระดับต่ำในปี 2021 ตามการสนับสนุนของมาตรการรัฐ
  • แม้ว่าเงินเฟ้อไทยในภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่ราคาอาหารและพลังงานที่สูงขึ้นมีแนวโน้มกระทบกับกลุ่มคนรายได้น้อยมากกว่า เนื่องจากคนรายได้น้อยมีสัดส่วนการใช้จ่ายในสินค้าจำเป้นสูงกว่า ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กที่ส่งผ่านราคาไม่ได้จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น
  • เงินเฟ้อไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากราคาอาหารและพลังงานเป็นหลัก ในขณะที่ราคาสินค้าอื่น ๆ ยังอยู่ในระดับต่ำ ต่างจากเงินเฟ้อในสหรัฐ ฯ และประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ของโลกที่ราคาสินค้าสูงขึ้นในเกือบทุกกลุ่ม KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าทำให้เงินเฟ้อไทยไม่เจอกับแรงกดดันด้านอุปสงค์และน่าจะชะลอตัวลงตามราคาอาหารและพลังงาน
  • สำหรับปี 2022 ยังต้องติดตามความเสี่ยงของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย คือ ราคาอาหารและพลังงานที่สูงยืดเยื้อ , ตลาดแรงงานที่อาจเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงานหลังการเปิดเมือง เงินเฟ้อโลกที่อาจสูงเกินกว่าคาด และอัตราดอกเบี้ยโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาด ซึ่งจะเพิ่มความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่สามารถปรับดอกเบี้ยขึ้นได้เร็วในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
คลิกเพื่ออ่านต่อ

ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตน้ำแล้งที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2019 และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นในปี 2020 คำถามสำคัญคือ วิกฤตในครั้งนี้เกิดจากอะไร มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร  บทวิเคราะห์ของ KKP Research จะตอบคำถามเหล่านี้

วิกฤตน้ำแล้งปีนี้รุนแรงแค่ไหน?

สัญญาณภัยแล้งในปีนี้ปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง มีสาเหตุหลักจากปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน (ภัยแล้ง) ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 ส่งผลให้ในปีถัดมาเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนนาน 2 เดือน (มิ.ย.–ก.ค. 2019) ปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10% และปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลของพายุโซนร้อนในปี 2019 ไม่ว่าจะเป็น “วิภา” "โพดุล" และ "คาจิกิ" ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และบางพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ฝนที่ตกส่วนใหญ่ตกในพื้นที่ใต้เขื่อนจึงไม่ได้ช่วยเติมน้ำในเขื่อนเท่าใดนัก และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง (เริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์) จึงทำให้ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ หรือ “น้ำต้นทุน” ต่ำกว่าความต้องการใช้จริง

จากข้อมูลของคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ณ วันที่ 20 ก.พ. 2020 พบว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา (4 เขื่อนหลัก) อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่าภัยแล้งปี 2015-16 (รูปที่ 1) และหากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคพบว่า ภาคกลางน่าเป็นกังวลมากที่สุด เนื่องจากระดับน้ำของทั้ง 3 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนป่าสักฯ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับเสลา อยู่ในระดับต่ำที่ 19% – 22% ของความจุสูงสุดของเขื่อน ซึ่งต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีตและระดับน้ำในวันเดียวกันเมื่อปี 2016 หลายเขื่อนในภาคเหนือประสบกับปัญหาน้ำน้อยด้วยเช่นกัน มีเพียงภาคตะวันตกที่สถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ดี (รูปที่ 2)

ระดับน้ำต้นทุนที่ต่ำต่อเนื่องมาจากปีก่อน และปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักที่อยู่ในเกณฑ์น้อยและเริ่มแห้งขอด จะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ลากยาวไปจนถึงเดือน มิ.ย. เทียบเคียงได้กับวิกฤตภัยแล้งในปี 2016 แต่ปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ย่ำแย่ไปกว่าปี 2016 คือ ภาวะน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้จำเป็นต้องระบายน้ำในเขื่อนเพื่อใช้เจือจางและผลักดันน้ำเค็มที่รุกล้ำเข้ามา ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่จะได้รับการจัดสรรสำหรับเกษตรกรรมน้อยลงจนอาจเข้าขั้นวิกฤต นอกจากนี้ หากในช่วงครึ่งปีหลังปริมาณฝนยังคงต่ำกว่าค่าปกติ อาจยิ่งทำให้สถานการณ์ในปี 2020 รุนแรงกว่าภัยแล้งที่เคยเกิดในปี 2016

แนะนำจากบทความ
08 พ.ย. 2564
เมื่ออุตสาหกรรมแข่งไม่ไหว หรือภาคบริการคือคำตอบของไทย
Economic
08 พ.ย. 2564
ธุรกิจและนักลงทุนไทยจะเป็นอย่างไรเมื่อจีนดำเนินนโยบาย common prosperity
Economic
24 ม.ค. 2565
จับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2022: Omicron กระทบเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน ?
Economic