Money
แค่ ริบบิ้น
Post by | Admin

กระแส Sneaker ตอนนี้แรงมากขึ้น
เป็นความแรงที่ต่อเนื่องมา ๒ ปีกว่าแล้วครับ
Sneaker คือรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้ากีฬา
ส่วนหนึ่งมาจาก “ตลาดเดิม” โตขึ้น
นั่นคือ ตลาด “กีฬา”
กระแสการนิยมการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง
หรือขี่จักยานแพร่หลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และพอ “คนรุ่นใหม่” ออกกำลังกายมากขึ้น
“รองเท้ากีฬา” ก็ขายดีตามมา
นอกจากนั้น กระแส Sneaker ยังเพิ่มความแรงขึ้นจาก “ตลาดใหม่” ครับ
จากเดิมที่ “รองเท้ากีฬา” เคยใช้สำหรับเล่นกีฬาอย่างเดียว หรือใส่เที่ยวแบบลำลอง
แต่วันนี้รองเท้ากีฬากลายเป็นรองเท้าแฟชั่นไปแล้ว
เราเห็นผู้หญิงใส่รองเท้ากีฬามากขึ้น
ไม่ใช่แค่ใส่กับกางเกงยีนส์ แม้แต่กระโปรงเธอก็ใส่รองเท้ากีฬา
ถือเป็นแฟชั่นใหม่ที่มาแรงมาก
เช่นเดียวกับผู้ชาย “รองเท้ากีฬา” ขยายอณาจักรการออกกำลังกาย
กลายเป็น “รองเท้า” สารพัดประโยชน์
ใส่เที่ยวเล่นธรรมดาก็ได้
หรือแม้แต่กระทั่งใส่สูทก็สามารถใส่รองเท้ากีฬาได้
แฟชั่นรุ่นใหม่ไปถึงขนาดนี้แล้ว
เมื่อโลกเปลี่ยนไป รองเท้ากีฬายี่ห้อดังๆ ทั้งหลายก็เริ่มปรับตัวครั้งใหญ่
“โอกาส” แบบนี้หายากครับ
“อาดิดาส” เป็นยี่ห้อที่ปรับตัวเร็วที่สุด ถ้าใครเดินเข้า ร้านอาดิดาส จะพบว่ารองเท้ากีฬารุ่นใหม่สวยมาก
ดีไซน์ไม่ลายพร้อยหรือเรียบเหมือนรองเท้าในอดีต
มีคนบอกว่า “อาดิดาส” ปรับกลยุทธ์ใหม่
เปลี่ยนจาก “ฟังก์ชั่น”
เป็น “แฟชั่น”
ก่อนหน้านี้ “อาดิดาส” จะขายคุณสมบัติที่เหนือชั้นเรื่องพื้นรองเท้า ความกระชับของวัสดุที่ใช้ การระบายความร้อน ฯลฯ
เขาหา “จุดขาย” สำหรับเล่นกีฬาเป็นหลัก
แต่วันนี้เขาเริ่มใช้การดีไซน์ที่สวยงามเป็น “จุดขาย”
จำปรากฏการณ์ “ซอมบี้” ที่สยามสแควร์ได้ไหมครับ
ผู้คนเบียดเสียดกันแย่งรองเท้าอาดิดาสรุ่น NMD R1 ที่วางขายแค่ ๕๐ คู่
ทั้งที่ราคาไม่ได้ถูก
๖,๙๐๐ บาท
นั่นคือกระแสที่เกิดขึ้นจริง
และไม่ใช่ครั้งแรก
เพราะต่อจากนั้นเขาก็ปล่อยรุ่นใหม่ๆ ที่มีจำกัดออกมาเรื่อยๆ
และราคาก็ขยับขึ้นด้วย
การผลิตรองเท้าในจำนวนจำกัด และเกิดกระแสการแย่งซื้อ
รองเท้ารุ่นนั้นกลายเป็นของหายาก
ราคาขายต่อในตลาดสูงไปถึงหลักหมื่น
ใครใส่จะเท่มาก
ในมุมหนึ่งถือเป็นการยกระดับสินค้าขึ้นมาอย่างที่เราไม่รู้ตัว
รองเท้ากีฬาที่เคยราคาคู่ละ ๑-๒,๐๐๐ บาท
พอผลิตรุ่นหายากราคา ๖,๙๐๐ บาทขึ้นมา
ทำให้แบรนด์ “อาดิดาส” ยกระดับขึ้น
รองเท้าราคาคู่ละ ๒ – ๓,๐๐๐ บาทกลายเป็นราคา “ไม่สูง”
เพราะเห็นแล้วว่าบางรุ่นราคาสูงถึง ๖,๙๐๐ บาท
ฐานราคาในใจที่ขยับขึ้น
ทำให้ “ของแพง” กลายเป็น “ไม่แพง”
แต่กลยุทธ์การตลาดของ “รองเท้า” น่าสนใจที่สุดสำหรับผม ไม่ใช่กีฬารองเท้ายี่ห้อดังระดับโลก
หากเป็นรองเท้าที่คนไทยคุ้ยเคยกันมานาน
“นันยาง” ครับ
“นันยาง” เป็นรองเท้านักเรียนและรองเท้ากีฬาที่เด็กผู้ชายแทบทุกคนในอดีตเคยเหยีบย่ำกันมาแล้ว
ลือชื่อกันมากเรื่องความหนึบและนุ่มของพื้นรองเท้า
จนถึงวันนี้ “นันยาง” ก็ยังคงครองตลาดรองเท้านักเรียนผู้ชาย
แต่สำหรับนักเรียนหญิง รองเท้านันยางใช้ตอนเฉพาะวิชาพละเท่านั้น
ตลาดจึงไม่ใหญ่มาก
ไม่เหมือนกับรองเท้านักเรียนผู้หญิงที่แข่งกันดุ
ใครจะไปนึกว่า “นันยาง” ที่นิ่งสงบมานานจะบุกตลาดเด็กผู้หญิง
เขาสร้างปรากฏการณ์ “นันยาง ชูการ์” ขึ้นมา
กลยุทธ์ง่ายมากเลยครับ
“นันยาง” เพิ่มลายพื้นรองเท้าด้านในเป็นสีน่ารักๆ เช่น เขียว ชมพู ฯลฯ
และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาทำให้รองเท้ากีฬาของนักเรียน กลายเป็นรองเท้าใส่เที่ยวได้ด้วย “ริบบิ้น” สีสดเข้ากับลายรองเท้าด้านใน
ครับ แค “ริบบิ้น” เด็กผู้หญิงกริ๊ดสลบแล้ว
“ริบบิ้น” ทำให้รองเท้ากีฬาเรียบๆ ก็กลายเป็นรองเท้าเที่ยวมุ่งมิ้งทันที
“นันยาง ชูการ์” ตั้งราคาขายแค่คู่ละ ๓๐๐ กว่าบาท
ตอนนี้แถม “ริบบิ้น” ฟรี
แต่ถ้าจะซื้อ “ริบบิ้น” สีอื่น
แยกขาย ๓๐ บาท
เขาเริ่มยิงโฆษณาในเดือนมีนาคม เป็นหนังโฆณาที่มีกลิ่นอายนักเรียนญี่ปุ่นน่ารักๆ
ปรากฏว่าขายดิบขายดีจนขาดตลาด
จนตอนนี้ก็ยังขายดี
ที่สำคัญ กระแส “นันยาง ชูการ์” ไม่ใช่อยู่แค่เด็กนักเรียยนนะครับ
เด็กมหา’ลัย และสาวๆ ออฟฟิศก็กลายเป็นลุกค้ากลุ่มใหม่
เพราะราคาตัดสินใจง่าย
ซื้อใส่เล่นน่ารักๆ
เห็นกลยุทธ์ของ “นันยาง ชูการ์” แล้ว “อาดิดาส ไนกี้ นิวบาลานซ์ ฯลฯ” คงส่ายหน้า
อุตส่าห์คิดนวัตกรรมพื้นรองเท้า หรือจ้างดีไซเนอร์ระดับโลกมาออกแบบ
เจอ “ริบบิ้น” สีสดเข้าไปทีเดียว
…เรียบร้อย
หนุ่มเมืองจันท์