Money

ทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ที่เรียกว่าพอ

Post by | Admin

ทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ที่เรียกว่าพอ_628x443

หากกล่าวถึงประกันชีวิตจุดประสงค์หลักของการทำประกันชีวิตคือการวางแผนจัดการภาระทางการเงินของคุณเมื่อคุณไม่อยู่ เพื่อไม่ให้ภาระทางการเงินของคุณสร้างความเดือดร้อนให้กับคนข้างหลัง

ซึ่งประกันชีวิตที่ตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีคือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ หรือ Whole-life Insurance  (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบบประกันภัยประเภทต่างๆ คลิก!)

ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เป็นแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองระยะยาว จะได้รับเงินเมื่อผู้ถือกรมธรรม์เสียชีวิตหรือเมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดสัญญา ซึ่งมักจะกำหนดไว้ที่อายุ 90 - 99 ปี จึงเหมาะสำหรับการสร้างมรดกให้กับลูกหลาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าครอบครัวจะไม่ลำบากเมื่อเราจากไป นอกจากนี้การจ่ายเบี้ยประกันของประกันชีวิตแบบตลอดชีพ มักจะจ่ายเป็นช่วงเวลาไม่นาน เช่น 2, 5, 10 ปี ขึ้นอยู่กับแบบประกันแต่ละแบบของแต่ละบริษัท

หากเริ่มเห็นถึงความสำคัญของการทำประกันชีวิตแล้ว คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยและควรต้องรู้คือ ควรทำประกันชีวิตเท่าไหร่จึงจะพอ ซึ่งจะต้องประเมินในแง่ที่ว่าจำนวนเงินที่จะได้รับจากบริษัทประกันชีวิต ในกรณีเสียชีวิตหรือครบกำหนดสัญญาหรือที่เรียกว่า ‘ทุนประกัน’ ควรจะเป็นเท่าไหร่

หลักการในการคำนวณทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมคือ ทุนประกันชีวิตควรจะครอบคลุมภาระทางการเงินส่วนเกินหลังจากหักมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขี้นเราสามารถแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนได้ดังนี้


4 ขั้นตอนในการประเมินทุนประกันชีวิตที่เหมาะสม

1. ประเมินภาระค่าใช้จ่ายที่ครอบครัวต้องแบกรับ หากมีการสูญเสียเกิดขึ้น โดยให้พิจารณาตั้งแต่ ค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัว ค่าเล่าเรียนลูก ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ซึ่งการประเมินต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านระยะเวลาที่คิดว่าเราจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ด้วย 

ตัวอย่าง:
- ค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัว เดือนละ 20,000 บาท หรือปีละ 240,000 บาท   หากคาดว่าต้องใช้เวลาอีก 10 ปีในการเลี้ยงดูครอบครัวก่อนที่ลูกจะโตพอมาดูแลแทน ดังนั้นค่าใช้จ่ายของครอบครัวเท่ากับ 2,400,000 บาท
- ค่าเล่าเรียนบุตร ปีละ 100,000 ใช้เวลาอีก 10 ปีก่อนที่ลูกจะเรียนจบ ดังนั้นภาระค่าเล่าเรียนจะเท่ากับ 1,000,000 บาท
- ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่เดือนละ 8,000 บาท คิดเป็นปีละ 96,000 บาท จำนวนปีที่คาดว่าท่านจะมีชีวิตอยู่คือ 15 ปี ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูพ่อแม่เท่ากับ 1,440,000 บาท เป็นต้น


2. ประเมินหนี้สินคงค้าง ซึ่งบางคนอาจลืมเวลาคำนวนทุนประกันชีวิต แต่หากเราไม่ได้คิดถึงในส่วนนี้อาจทำให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องมารับภาระในส่วนนี้แทน ยิ่งในกรณีที่ใช้บ้านเป็นหลักประกันในการกู้ยืม หากถูกยึดคงทำให้ครอบครัวมีความลำบากในการดำรงชีวิตมากเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรประเมินรายการหนี้สินทั้งหมดที่มีไม่ว่าจะเป็น การผ่อนบ้าน, ผ่อนรถยนต์, หนี้สินจากการทำธุรกิจ รวมทั้งหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้นอกระบบด้วย

ตัวอย่าง:  หนี้บ้าน 1,500,000 บาท, หนี้รถ 300,000 บาท รวมภาระหนี้สินเท่ากับ 1,800,000 บาท


3. ประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่มีในปัจจุบัน หากเราจากไป สินทรัพย์ที่มีในปัจจุบันสามารถใช้ในการต่อยอดสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับครอบครัวที่อยู่ข้างหลังต่อไปได้ ดังนั้นควรประเมินรายการทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดเช่น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ เงินฝากธนาคาร เงินลงทุนในหุ้นหรือกองทุนต่างๆ รวมถึงเงินทดแทนที่จะได้รับเมื่อเสียชีวิต

ตัวอย่าง:  ที่ดินมูลค่า 1,000,000 บาท, บ้านมูลค่า 2,500,000 บาท เงินลงทุนรวม 800,000 บาท และเงินฝากธนาคาร 200,000 บาท รวมมูลค่าสินทรัพย์ที่มีในปัจจุบันเท่ากับ 4,500,000 บาท


4. คำนวณทุนประกันชีวิตที่เหมาะสม ได้จากการนำภาระทางการเงินทั้งหมด หักด้วยมูลค่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ทุนประกันชีวิต = ภาระค่าใช้จ่าย (1) + หนี้สินคงค้าง (2) – มูลค่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ (3)

ตัวอย่าง:  จากตัวอย่างข้างต้น ทุนประกันชีวิตที่ควรมี = 4,840,000 + 1,800,000 – 4,500,000 = 2,140,000 บาท


ทั้งนี้ มีข้อพึงระวังคือไม่ควรซื้อประกันจนเป็นภาระเราเกินไป เพราะหากในอนาคตมีเหตุให้เราต้องขาดรายได้ เช่น ต้องออกจากงานอย่างกะทันหัน เราควรจะยังสามารถจ่ายเบี้ยประกันชีวิตต่อไปได้ โดยไม่ต้องยกเลิกหรือเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการเวนคืนกรมธรรม์มักจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่ได้จ่ายไป

อีกหนึ่งวิธีช่วยลดความเสี่ยง ที่จะไม่สามารถชำระเบี้ยประกันชีวิตให้ครบได้ คือการเลือกประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่จ่ายเบี้ยประกันระยะเวลาสั้นๆ เพราะการบริหารจัดการการเงินในช่วงระยะเวลาที่สั้นกว่า จะมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันน้อยกว่านั้นเอง สนใจผลิตภัณฑ์คลิก

วิธีการคำนวณทุนประกันชีวิตข้างต้นน่าจะพอเป็นแนวทางในการตอบคำถามสำหรับหลายๆคนว่า ควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ จึงจะครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้  เพื่อให้คุณสามารถส่งต่อมรดกให้กับครอบครัว เพื่อเป็นทุนในการดำเนินชีวิตของพวกเขาต่อไป

4-Step_Life_Insurance_Calculation_628

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

 

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

Suggested
05 May 2020
ประกันภัยคืออะไร แบบไหนที่ตอบโจทย์
Money
20 Jul 2020
ขอสินเชื่อบ้าน ทำไมต้องซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ
Money
07 Nov 2019
อ่านจบรู้เลย “ประกันสุขภาพ” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
Money
16 Aug 2021
คุณแม่ยุคใหม่ วางแผนการเงินอย่างไรให้รอบด้าน
Money