Money

COVID-19 เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า SME ปรับกลยุทธ์อย่างไร?

Post by | Admin

560x395px

การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันให้พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเปลี่ยนไป ทั้งในระยะสั้นๆ หรืออาจกลายเป็นพฤติกรรมถาวรที่เรียกว่า New Normal เลยก็ได้ ซึ่งเจ้าของธุรกิจต้องมองหาโอกาสและปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ เนื่องจากส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค วันนี้ KKP Advice Center ขอนำเสนอแนวทางการรับมือของธุรกิจเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

เพิ่มสื่อออนไลน์ตอบรับพฤติกรรมติดบ้าน
การอยู่ในบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ทำให้คนเริ่มหยิบมือถือมากขึ้น Social Media กลายเป็นสื่อหลักในการใช้งาน ซึ่งทำให้ลูกค้าเกิดการคุ้นชินและกลายเป็นช่องทางหลักที่ลูกค้าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราหากใครที่มองว่าช่องทางนี้ไม่คุ้มกับการลงทุนหรือไม่ใช่ช่องทางหลักในการสื่อสารก็คงต้องลองคิดใหม่อีกครั้ง

แตกไลน์ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ตอบรับพฤติกรรมรักษ์สุขภาพ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทุกคนต้องมีหน้ากากอนามัยติดตัว ล้างมือบ่อยขึ้น กินอาหารปรุงสุก เป็นเรื่องปกติ เลือกทานของที่ดีต่อสุขภาพ ธุรกิจทางสุขภาพและสุขอนามัยจะได้รับประโยชน์หากคุณมองหาหรือยากขยายธุรกิจ แนวทางนี้ก็น่าสนใจเช่นกัน

จัดโปรยกแพ็คตอบรับพฤติกรรมซื้อของนาน ๆ ครั้ง การออกข้างนอกจะมีเฉพาะเรื่องที่จำป็นและหากมีการซื้อสินค้าจะเน้นซื้อยกแพ็คหรือในปริมาณมาก ๆ ซึ่งในประเทศจีนก็เกิดพฤติกรรมในลักษณะนี้เช่นกันแม้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิดเริ่มเบาบางซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลของบริษัทมินเทล (Mintel) บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก โดยผู้ประกอบการอาจทำโปรโมชั่นการซื้อยกแพ็คหรือยกลังเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

หาแนวทางพัฒนาระบบงานเมื่อเทคโนโลยี AR และ VR มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ
การเผชิญหน้ากับพนักงานขายหรือการลองสินค้าใน Fitting Room จะมีบทบาทน้อยลง เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) จะช่วยเพิ่มการตัดสินใจในการซื้อแทนการไปเลือกซื้อที่ร้านตัวอย่างทางเลือกที่นำมาปรับใช่ได้เช่น ใช้เทคโนโลยี AR ให้ลูกค้าลองปัดแก้ม ทารองพื้นโดยไม่ต้องใช้ของจริง ใช้ VR ให้ลูกค้าดูห้องตัวอย่างก่อนตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโด พฤติกรรมลูกค้าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ภายใต้ปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ๆ ธุรกิจต้องพร้อมทำความเข้าใจและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม หากต้องการเงินทุนสนับสนุนในการต่อยอดธุรกิจสินเชื่อธุรกิจ SME ธนาคารเกียรตินาคินยินดีให้บริการ สนใจคลิก

 

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

 

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

แนะนำจากบทความ
21 เม.ย. 2563
5 แนวทางฝ่าวิกฤต COVID ปรับตัวให้ธุรกิจอยู่รอด
Business
13 เม.ย. 2563
สถานการณ์และแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 จากผลกระทบวิกฤติ COVID-19
Business
16 เม.ย. 2563
จ้างงานไทยมืดมิดจากพิษ COVID-19
Economic