1. ลดค่าใช้จ่าย เมื่อรายได้ไม่มี การลดค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ โดยการตรวจสอบบัญชีบริษัท จัดลำดับค่าใช้จ่าย ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่างๆ หรือลดทอนค่าใช้จ่ายบางส่วนให้น้อยลง เช่น ปรับลดงบสื่อการตลาด การปรับลดค่าจ้างพนักงาน Trade off ไปกับงานที่น้อยลง แต่ที่สำคัญต้องสื่อสารให้พนักงานให้เข้าใจก่อนทุกครั้งถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจขึ้นภายในองค์กร
2. มองหาธุรกิจทางเลือก ที่กำลังนิยม เป็นอีกทางออกหนึ่งที่สามารถช่วยกิจการได้ โดยการหันมาดู Trend การตลาดที่กำลังเติบในช่วงนี้ เช่น ธรุกิจขายอาหารสำเร็จรูป ธุรกิจเพื่อสุขภาพ ธุรกิจทำความสะอาดฆ่าเชื้อหรือป้องกันไวรัสโควิด 19
3. เรียนรู้ Platform Online หากสินค้าขายหน้าร้านไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เห็นมากขึ้นไม่จำกัดแค่สินค้าเท่านั้น ยังมีบริการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย เช่น บริการสอนหนังสือ สอนทำขนม สอนทำอาหาร หรือให้คำปรึกษาการลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วธุรกิจคุณล่ะ ทำอะไรกับช่องทางนี้ได้หรือไม่
4. รักษาและต่อยอดฐานลูกค้าเก่า ลูกค้าเก่านี้แหละที่ช่วยให้เรายังขายสินค้าต่อได้ โดยไม่ต้องไปสิ้นเปลืองกับการใช้เงินไปหาลูกค้าใหม่ เพียงแต่การให้บริการอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ เช่น เปลี่ยนเป็นการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ สิ่งเดี่ยวที่คุณต้องคิดคือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเก่าเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ เช่น อาจให้ลูกค้า Add Line เพื่อเป็นช่องทางเสนอขายสินค้าใหม่ๆ , การเพิ่มจำนวนสินค้าใน Website ของเรามากขึ้น หรือเอาสินค้าของเราไปวางขายผ่านช่องทางขายอื่นๆ บนโลกออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าเก่าของเราสามารถหาซื้อสินค้าของเราได้ง่ายขึ้น
5. เปลี่ยนสินทรัพย์เป็นทุน หากประมาณการณ์แล้วเงินทุนคุณไม่พอต่อการดำเนินธุรกิจในช่วง 3 เดือนแน่ ๆ ให้เริ่มสำรวจทรัพย์สินของตัวเองเพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ในค้ำประกันสำหรับการขอสินเชื่อ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน บ้าน หรือแม้แต่รถยนต์ ก็สามารถนำมายื่นขอสินเชื่อธุรกิจกับธนาคารเกียรตินาคินได้ ด้วยสินเชื่อธุรกิจ KK SME รถ คูณ 3 ให้วงเงินอนุมัติมากถึง 3 เท่าของราคาประเมินรถยนต์ และได้สูงสุดถึง 5 คัน สนใจ คลิก

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม