Money

เลือกกองทุน SSF ยังไง กับโค้งสุดท้ายของการลดหย่อนภาษี

Post by | Admin

เลือกกองทุน-SSF-ยังไง-กับโค้งสุดท้ายของการลดหย่อนภาษี_628x443

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเริ่มมองหาการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ช่วงปลายปีแบบนี้ คุณต้องรีบแล้วนะคะ เพราะเหลือเวลาอยู่ไม่มากในการเข้าลงทุนให้ทันสิ้นปี (ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปีนี้

สำหรับกองทุน SSF (Super Saving Fund) ที่มาแทน LTF นั้น มีประเภทกองทุนที่หลากหลายกว่า LTF การตัดสินใจเลือกลงทุนจึงมีรายละเอียดที่ต้องศึกษามากกว่าเดิม (ความแตกต่างของ LTF และ SSF คลิก) วันนี้เรามีแนวทางง่ายๆ ในการเลือกกองทุน SSF สำหรับลดหย่อนภาษีมาฝากกัน

คำนวนรายได้ทั้งปีเพื่อดูว่ามีรายได้ที่ต้องเสียภาษีเท่าไหร่

ก่อนจะเลือกกองทุน เรามีคำแนะนำเบื้องต้นว่าควรเช็ครายได้รวมทั้งปีของคุณก่อนว่าเป็นเท่าไหร่ สำหรับใครที่มีรายได้หลายทางจะต้องนำมารวมให้ครบถ้วน หลังจากนั้นลองประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอะไรบ้างที่สามารถนำมาลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้ สุดท้ายเราจะรู้ว่าหากเรายังไม่ลงทุน จะต้องเสียภาษีจำนวนเท่าไหร่

ตัดสินใจว่าจะลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มจำนวนเท่าไหร่

เมื่อรู้ฐานรายได้ที่จะต้องนำมาเสียภาษีแล้ว ลองพิจารณาดูว่าเราต้องการลงทุนจำนวนเท่าไหร่ และจะสามารถประหยัดภาษีลงได้กี่บาท ทั้งนี้ ต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินหลังจากนี้ด้วย เพราะการลงทุนใน   SSF จะต้องถือครองให้ครบ 10 ปี หากมีแผนการใช้เงินในอนาคต การลงทุนส่วนนี้จะไม่สามารถไถ่ถอนออกมาได้ หรือถ้าต้องไถ่ถอนจริง ๆ จะมีค่าปรับซึ่งคิดเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

เลือกประเภทกองทุนที่ต้องการลงทุน

มาถึงขั้นตอนการพิจารณาเลือกการลงทุน สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ซึ่งข้อดีของ SSF คือมีการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น ตลาดเงิน, ตราสารหนี้ , ตราสารทุน, ทองคำ, น้ำมัน และ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น รวมทั้งสามารถลงทุนในตราสารได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายกว่า LTF อย่างมาก

หากเป็นผู้ที่รับความเสี่ยงต่ำสามารถเลือกลงทุนใน กองทุนตลาดเงิน หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ ขณะที่ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน หรือ กองทุนรวมกลุ่มธุรกิจ (Sector Fund) เป็นต้น

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีการลงทุนอยู่แล้ว ควรพิจารณาพอร์ตการลงทุนเดิมของตัวเองด้วย ว่ามีสินทรัพย์ประเภทใดอยู่บ้าง และน้ำหนักเทไปในสินทรัพย์ใดมากเกินไปหรือไม่ เช่น หากที่ผ่านมามีการซื้อ LTF ไว้เป็นส่วนใหญ่ พอร์ตการลงทุนก็น่าจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยอยู่เยอะ การลงทุน SSF ที่จะเพิ่มเข้ามา ควรช่วยกระจายน้ำหนักการลงทุนให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเราสามารถเลือกลงทุนในกองทุน SSF มากกว่า 1 กองได้ หากพิจารณาจากพอร์ตการลงทุนที่มีอยู่เดิมแล้วพบว่าควรลงทุนในสินทรัพย์มากกว่า 1 ประเภท

เปรียบเทียบกองทุน

เมื่อได้ประเภทกองทุนที่ต้องการลงทุนแล้ว ลองหารายชื่อกองทุนที่สนใจ ซึ่งเราจะพบว่าหลายกองทุนมีนโยบายการลงทุนที่คล้ายกัน แต่อาจมีผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันไป ในการเปรียบเทียบแต่ละกองทุนจึงควรพิจารณาหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน เช่น

- นโยบายการลงทุนโดยละเอียด: ถึงแม้ว่ากองทุนจะมีนโยบายการลงทุนในหุ้นเหมือนกัน แต่อาจมีรายละเอียดในการเลือกหุ้นแตกต่างกันได้เช่นอาจเน้นหุ้นขนาดใหญ่ หรือ เน้นหุ้นเติบโต เป็นต้น

- ผลตอบแทนย้อนหลัง: ควรเปรียบเทียบผลตอบแทนในหลายๆ ช่วงเวลา เพื่อให้เห็นข้อมูลภาพรวมให้มากที่สุด รวมทั้งควรเปรียบเทียบกับ Benchmark ด้วย ทั้งนี้กองทุน SSF เพิ่งเกิดขึ้นเป็นปีแรก อาจมีผลตอบแทนย้อนหลังไม่ถึงปี แต่หลายๆ กองมักจะมีกองทุนที่มีนโยบายลงทุนเหมือนกันอยู่ ซึ่งไม่ได้เป็นกองทุน SSF อาจนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้

- ค่าธรรมเนียม: เป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม แต่หากกองทุนที่เปรียบเทียบมีผลตอบแทนใกล้เคียงกัน ขณะที่ค่าธรรมเนียมต่างกัน ค่าธรรมเนียมก็อาจเป็นหนึ่งปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกกองทุน

- การป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากบางกองทุนเป็นการลงทุนในต่างประเทศ จะมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงต้องศึกษานโยบายการป้องกันความเสี่ยงของกองทุนว่าตรงกับความต้องการของเราหรือไม่

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถหาดูได้จาก Fund Fact Sheet ของกองทุน

เชื่อว่าหลายๆ คนมักจะดูผลตอบแทนย้อนหลังเป็นหลัก แต่ต้องอย่าลืมว่าผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถบ่งบอกผลตอบแทนในอนาคตได้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรวิเคราะห์สภาวะตลาดประกอบการพิจารณาลงทุนด้วย

 

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

 

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

Suggested
16 Nov 2020
ช้อปดีมีคืน กับการลดหย่อนภาษีที่ควรรู้
Money
18 Nov 2020
เช็คลิสต์…ค่าลดหย่อนภาษี
Money
04 Nov 2020
กลยุทธ์การลงทุนแบบยั่งยืน อีกหนึ่งเคล็ดลับของการลงทุน (ตอน1)
Investment