เล่ายังไง? ให้ขายได้แพงกว่าเดิม
ทุกท่านเคยสังสัยไหมครับ สินค้าเราและคู่แข่งแทบไม่แตกต่างกันแต่ทำไมเขาถึงขายได้แพงกว่าเรา วันนี้ KKP Advice Center จะพาทุกคนมารู้จักการเพิ่มมูลค่าสินค้าผ่านการเล่าเรื่อง หรือที่รู้จักกันในศาสต์ของ Story Telling
Story Telling คือ การตลาดรูปแบบหนึ่งที่อาศัยการเล่าเรื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของเรา เป็นการนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์หรือจุดเด่นของผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าได้รับรู้แบบมีอรรถรส น่าติดตาม โดยลูกค้าจะได้เสพไม่ว่าจะ อ่าน ดู หรือฟัง แบบที่เขาไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ จนอาจตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น จึงเป็นเหตุให้เจ้าของกิจการหันมาให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น โดยหลักการเล่าเรื่องแบบ Shortcut สำหรับคนอยากเริ่มเรียนรู้มีอยู่ 4 หัวข้อด้วยกันดังนี้
1. ต้องรู้จักลูกค้าให้ดี – ก่อนจะลงมือทำ สำคัญต้องเข้าใจ Customer Journey อะไรคือ pain point อะไรคือ Need อะไรคือ Interest ของลูกค้า ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าควรจะเล่าเรื่องอะไรที่น่าสนใจและเติมเต็มสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ ในทางการตลาดเราจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสร้าง Persona หรือการสร้างบุคลิกและลักษณะของกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลที่ Insight เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ซึ่งจะทำให้เราสื่อสารได้ไม่หลุดกรอบที่ควรจะเป็น เช่น ลิซ่า เป็นผู้หญิง อายุ 23-30 ปี พักอยู่คอนโด เลี้ยงแมวเป็นเพื่อนคลายเหงา ชอบเล่น Tik Tok และ IG Story มีพูดถึงแมวบ่อยๆ ชอบเที่ยวคาเฟ่แนวธรรมชาติในวันเสาร์หรืออาทิตย์ พร้อมกับหนังสือแนวจิตวิทยา 1 เล่ม พร้อมแสดงความคิดเห็นลงบนโลก Social เมื่อพบเจอเหตุการณ์การทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์มากสำหรับการจะทำ Story Telling
2. ต้องเข้าใจสิ่งที่ต้องการขายให้ดี – เพราะของๆเราดีแค่ไหน แต่ให้ข้อมูลไม่ครบ หรือไม่ถูกต้องก็อาจจะเป็นผลเสียตามมา ดังนั้นเราควรเข้าใจอย่างถ่องแท้ในผลิตภัณฑ์และบริการของเราว่า จุดเด่นมีอะไรบ้าง จุดไหนควรจะหยิบมานำเสนอ ซึ่งต้องเป็นเรื่องราวที่ลูกค้าต้องการได้อ่าน ได้ยิน หรือได้เห็นมัน
3. กำหนดแบบแนวคิด – ในการเล่าหรือถ่ายทอดคุณควรกำหนด Concept หรือ Big Idea ขึ้นมาเพื่อให้การถ่ายทอดไม่หลุดออกไปจากกรอบที่ควรจะเป็นซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทั้ง Mood & Tone ของการถ่ายทอดทั้งหมดว่าควรจะออกมาเศร้า สนุก หรือจุดตัดสินใจบางอย่างตามที่คุณต้องการ
4. หาเทคนิคถ่ายทอด – เทคนิคการเล่าเรื่องเดิมทีมีหลายแบบ ที่นิยมใช้และง่ายต่อการเริ่มต้นเรียนรู้เราขอนำเสนอแบบ Problem-Agitate-Solve ซึ่งเป็นรูปแบบหลักๆ ที่เห็นอยู่ในตลาดของสื่อโฆษณาและตามบล็อกของกูรูหรือแม้แต่ Influencer นักรีวิว ซึ่งจะมีอยู่ 3 ลำดับคือ
• Problem (ปัญหา) – กระแทกไปที่ปัญหา ข้อนี้เป็นเหตุผลที่เราต้องเข้าใจ Pain point ของลูกค้าให้ดี ปัญหาจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราสามารถหยิบมาถ่ายทอดเพื่อดึงความสนใจซึ่งนั่นจะเป็นการบ่งบอกว่าเราเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี
• Agitate (กวนใจ) – เป็นการเน้นย้ำปัญหาที่ยกขึ้นมาให้รู้สึกรุนแรงมากขึ้น เพื่อให้ผู้เสพสื่อนั้นได้รับความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น หากปล่อยให้ปัญหานี้สะสมไปเรื่อยๆ จะมีผลร้ายอย่างไรกับสุขภาพหรือการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคหรือบุคคลที่ผลต่อการตัดสินใจ
• Solve (แก้ไข) – นำเสนอด้วยวิธีการแก้ไขปัญหา โดนเราจะแสดงให้เห็นว่าแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์และบริการของเราสามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างไร ซึ่งจะต้องจบด้วย Call To Action เสมอ เช่น ขจัดปัญหาคุณตอนนี้ โทร.เลย สมัครเลย เป็นต้น
ซึ่งถ้าคุณอย่างจะรู้เทคนิคและตัวอย่างการของการเล่าเรื่อง StoryTelling ให้มากกว่านี้พบกับงานงานสัมมนาออนไลน์ KKP Focus Forum StoryTelling – ขายของให้โดนใจต้องลองใช้การเล่าเรื่อง ซึ่งถ่ายทอดโดย ดร.นภาวรรณ สกุลเกษมสุข ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การเล่าเรื่องจาก STECO มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าธนบุรี คลิก