Money
Investment Solutions
ทางออกของการลงทุนแนวใหม่
Post by | Admin
ดร. จอน วงศ์สวรรค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ทีม Investment Solutions
ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)

ทำความรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Quant และนักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของ Track Record อันดับต้นๆ ของไทย ผู้มีประสบการณ์ในต่างประเทศ ผ่านการทำวิจัย และสนามการทำงานกับองค์กรระดับโลกมาแล้ว
HIGHLIGHTS
- เราอยู่ในช่วงที่ตลาดกำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นจังหวะที่ตลาดถูกครอบงำโดยนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ดังนั้นการจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในปัจจุบันจึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งประสบการณ์การลงทุนที่ครอบคลุมในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ ความเข้าใจในภาพเศรษฐกิจมหภาค และการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางที่สำคัญๆ รวมทั้งความสามารถในการตีความข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่มีผลต่อการลงทุน ในช่วงเวลานี้เองที่เราต้องการคนที่เข้าใจวิธีคิดของธนาคารกลางสหรัฐฯ คนที่ผ่านการรู้ เห็น และลงมือ รวมถึงผ่านการทำงานบนเวทีโลก มาช่วยมอง Solution ที่ถูกที่ถูกเวลาให้กับลูกค้ากลุ่ม Wealth มาช่วยบริหารและแนะนำการลงทุนให้ลูกค้าแต่ละราย เพื่อมอบ Investment Solutions หรือทางออกของการลงทุนท่ามกลางภาวะการตัดสินใจที่นับว่ายากสำหรับนักลงทุนในเวลานี้
- ด้วยประสบการณ์การบริหารธุรกิจ Quantitative Investment มาเป็นเวลาเกือบ 9 ปี ประกอบกับปัจจุบันมีกองทุนและเครื่องมือทางการเงินทั้งในและต่างประเทศหลากหลายชนิดที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ซึ่งเพิ่มความยากในการตัดสินใจลงทุนสำหรับลูกค้าบุคคลแต่ละราย ทาง Phatra Wealth Management จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในฝ่ายลูกค้าบุคคลที่ชื่อว่า Investment Solutions โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยลูกค้าบริหารการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ (Solution-based Service) ซึ่งได้มีการรวมองค์ความรู้ทั้งในด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการลงทุนแบบเชิงปริมาณ รวมถึงบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญมาไว้ในที่เดียว เพื่อทำการเลือกเครื่องมือทางการเงินไปจนถึงการจัดพอร์ตที่เหมาะสมให้ลูกค้าแต่ละราย โดยพิจารณาทั้งในด้านผลตอบแทน ความเสี่ยง และข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งในต่างประเทศหน่วยงานประเภทนี้เป็นหน่วยงานหลักที่มีความสำคัญมากในการให้บริการลูกค้าในธุรกิจ Wealth Management
- ความกังวลว่าธนาคารกลางประเทศหลักๆ จะลดการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนปรน อีกทั้งยังมีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศเข้ามามีผลกับตลาดการเงิน ตัวอย่างที่สำคัญ คือราคาสินทรัพย์ตราสารทุน และตราสารหนี้ที่มีการขยับไปในทิศทางเดียวกันซึ่งในอดีตแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ทั้งนี้มาจากสาเหตุที่นักลงทุนมีความกังวลว่าธนาคารกลางประเทศหลักๆ จะลดการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนปรน อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราไม่สามารถใช้เพียงแค่ข้อมูลในอดีตมาทำการวิเคราะห์แล้วหากลยุทธ์การลงทุน แต่ต้องมีการคำนึงถึงภาพใหญ่โดยรวม
- เราจะพบว่าถ้าเราสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ จะทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวดีขึ้นมาก สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คือศาสตร์ในการเข้าใจและการควบคุมความเสี่ยง ซึ่งได้มีการพัฒนาไปค่อนข้างสูงมากในด้านการเงินและมีความแม่นยำสูงกว่าการคาดการณ์ผลตอบแทน ดังนั้นผมคิดว่านักลงทุนจะสามารถบริหารพอร์ตได้ดีขึ้น หากมีการให้ความสำคัญกับเรื่องความเสี่ยงที่มากขึ้นควบคู่กันไปด้วย
- ถ้าเราใช้โมเดลจากต่างประเทศตรงๆ ก็จะไม่เข้ากับบริบทของตลาดเมืองไทย สิ่งพวกนี้คือสิ่งที่เราต้องมีการปรับโดยอาศัยความเชี่ยวชาญและความเข้าใจตลาดอย่างแท้จริง มาช่วยให้โมเดลไม่เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์ตัวเลขอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ Quantitative Model ของภัทรต่างจากที่อื่นซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ และผมเชื่อว่าโมเดลของเราถูกสร้างมาอย่างดีที่สุด และเหมาะสมกับตลาดการลงทุนในบ้านเรา
ทำความรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Quantitative และนักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของ Track Record อันดับต้นๆ ของไทย ผู้มีประสบการณ์ในต่างประเทศ ผ่านการทำวิจัยและสนามการทำงานกับองค์กรระดับโลกมาแล้ว

ดร. จอน จบปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University) ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยทุน Japan-IMF ซึ่งเป็นทุนการศึกษาระดับสากล และเป็นตัวแทนคนไทยเพียง 1 ใน 2 คนที่ได้รับคัดเลือก มีผลงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งทำการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินโลกและพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ผ่านการศึกษา Volatility ที่เน้นการใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์และสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์คือ Professor Tim Bollerslev ซึ่งเป็นผู้คิดค้น Volatility Model แบบจำลองคลาสสิคระดับโลกที่เรียกกันว่า GARCH Model โดยปริญญานิพนธ์ได้มีการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการด้านการเงินระดับโลก (Review of Financial Studies) ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกที่มีผลงานวิจัยเดี่ยว
หลังจากเรียนจบ ดร. จอน ได้รับเข้าทำงานที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยเป็นคนไทยคนแรก และคนเดียวที่เป็น Economist ที่นั่น ได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่วิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินระหว่างประเทศในด้านต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อสหรัฐ ได้ศึกษาและนำเสนอนโยบายต่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee หรือ ชื่อย่อ FOMC) นอกจากนั้นยังได้มีโอกาสนำเสนอการวิเคราะห์ทางด้านการเงินและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่อสภาผู้ว่าการ (Board of Governors) รวมถึง Chairman Alan Greenspan และ Chairman Ben Bernanke ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษ และไม่ใช่ทุกคนจะได้รับโอกาสแบบนี้
ดร. จอน ได้ทำงานที่นี่เป็นเวลา 5 ปีก่อนจะย้ายไปหาประสบการณ์การทำงานเพิ่มเติมที่ BGI (Barclays Global Investors) ซึ่งในขณะนั้นเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและยังเป็นที่แรกที่ทำ Quantitative Investment โดยรับผิดชอบการคิดค้นกลยุทธ์การลงทุนเฮดจ์ฟันจ์ (Hedge Fund) สำหรับการลงทุนในตราสารทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก (Global Emerging Markets) และตลาดสหรัฐ รวมทั้งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในอัตราแลกเปลี่ยน โดยทำงานอยู่ประมาณ 3 ปี ก่อนจะย้ายกลับมาเมืองไทย
อีกผลงานที่โดดเด่นของ ดร. จอน คืองานวิจัยทางด้านวิชาการกว่า 10 บทความที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับโลกทางเศรษฐศาสตร์ และการเงิน โดยผลงานที่โดดเด่นที่สุดคืองานวิจัยที่ใช้เวลาในการทุ่มเทกว่าหกปีก่อนจะได้รับการตีพิมพ์ลงใน American Economic Review วารสารที่ดีที่สุดฉบับหนึ่งของโลกทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน ที่นักวิชาการต่างก็ให้การยอมรับ นับเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่มีบทความตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการดังกล่าว
ดร. จอน จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนสาย Quantitative Investment ซึ่งชำนาญการลงทุนผ่านกระบวนการวิจัยโดยใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์และสถิติ ในการวิเคราะห์และวิจัยข้อมูลที่หาตัวจับได้ยากที่สุดคนหนึ่งของไทย
จากนี้ไปจะเข้าสู่ช่วงบทสนทนากับดร. จอนถึงที่มาที่ไป การหาคำตอบทางความคิด ประสบการณ์ที่สำคัญหลายด้านในต่างประเทศทั้ง บริหารกองทุนระดับโลก วิเคราะห์เศรษฐกิจและการเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐ (US Federal Reserve หรือชื่อย่อ Fed) รวมทั้งประสบการณ์การวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ที่หาตัวจับได้ยากที่สุดคนหนึ่งของไทย
ความเป็นมาที่ทำให้ได้มาทำงานในสายการเงิน
ด้วยความเป็นคนชอบคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ชอบทำอะไรที่ท้าทาย และที่สำคัญต้องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์รอบตัว อย่างการทำงานวิจัยก็เป็นการแก้ปัญหาแบบหนึ่ง เหมือนมีคำถามที่เราอยากเข้าใจว่ามันคืออะไร ทำวิจัยแล้วทำให้ได้คำตอบ หรือเข้าใจมากขึ้น สำหรับการลงทุนก็เหมือนกัน โจทย์ที่สำคัญคือต้องการเข้าใจผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆและนำมาสร้างพอร์ตการลงทุน ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม
สิ่งที่ท้าทายของการลงทุนก็คือ การมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมายทั้งที่สามารถคาดเดาได้และไม่ได้ ข้อดีของการลงทุนก็คือเราสามารถดูผลได้ทุกวัน แต่การทำความเข้าใจว่าเราคิดครบและถูกต้องหรือไม่นั้นอาจทำไม่ได้ง่าย เนื่องจากอาจมีปัจจัยต่างๆ แทรกซ้อนเข้ามาได้ตลอดเวลา รวมทั้งความสัมพันธ์ของปัจจัยเหล่านั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงด้วย เสน่ห์ที่สำคัญของการลงทุนคือการผสมผสานระหว่างการคิดแก้ปัญหาในสิ่งที่ท้าทายกับโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าเป็นนักวิจัยอย่างเดียวทำวิจัยออกมาตีพิมพ์เสร็จก็จบไปเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ทำมันผิดหรือถูกอย่างไรในอนาคต ข้อดีอีกอันหนึ่งที่สำคัญสำหรับการลงทุนคือสามารถใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อบริหารเงินตัวเองได้
เข้ามาทำงานที่ภัทรได้อย่างไร
ความตั้งใจแรกในการเรียนปริญญาเอก คืออยากกลับมาเป็นอาจารย์ที่เมืองไทย แต่พอใกล้ๆ จะกลับมาได้ลองคิดดูอีกครั้ง แล้วรู้สึกว่ามันไม่ตรงกับความต้องการ เนื่องจากผมมองหาความตื่นเต้นและท้าทาย จึงตัดสินใจว่าต้องหาประสบการณ์ในบริษัทเอกชนที่สหรัฐดูก่อนเพื่อจะได้มีทางเลือกเพิ่มให้กับอนาคตของเรา พอไปทำที่ BGI (Barclays Global Investors) ก็รู้สึกชอบและสนุกมาก ทำให้สนใจงานทางภาคการเงินเอกชน ก่อนผมจะย้ายกลับมาเมืองไทยก็ได้บินกลับมาหางานอยู่สองครั้ง ได้ติดต่อเพื่อคุยงานกับองค์กรต่างๆ และโชคดีที่ได้มีโอกาสคุยกับพี่เตา (คุณบรรยง พงษ์พานิช) ที่ภัทร ผมก็ได้มาสัมภาษณ์งานในตำแหน่งต่างๆ ที่ภัทร และพี่ๆ ถามผมว่าอยากทำอะไร ผมเลยบอกว่าสนใจอยากมาสร้าง Quantitative Investment ที่เมืองไทย ก็เลยได้เสนอแผนธุรกิจ ทางภัทรเป็นที่เดียวในประเทศไทยที่สนใจและให้โอกาสผมในการสร้างธุรกิจนี้ ผมเลยได้เข้ามาร่วมงานกับภัทรและสร้างธุรกิจใหม่โดยเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่จ้างคน จัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ และข้อมูลต่างๆ โดยเข้ามาอยู่ในส่วนงานบริหารเงินลงทุนของบริษัท (Principal Investment) รวมทั้งได้มีการสร้างทีมที่มีความสามารถด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ซึ่งมีการใช้ Big Data และ Machine Learning และการสร้างแบบจำลองการลงทุนต่างๆ
สิ่งที่กำลังโฟกัสอยู่ในขณะนี้

ด้วยประสบการณ์การบริหารธุรกิจ Quantitative Investment มาเป็นเวลาเกือบ 9 ปี ประกอบกับปัจจุบันมีกองทุนและเครื่องมือทางการเงินทั้งในและต่างประเทศหลากหลายชนิดที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ซึ่งเพิ่มความยากในการตัดสินใจลงทุนสำหรับลูกค้าบุคคลแต่ละราย ทาง Phatra Wealth Management จึงได้มีการตั้งหน่วยงานใหม่ในฝ่ายลูกค้าบุคคลที่ชื่อว่า Investment Solutions โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยลูกค้าบริหารการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ (Solution-based Service) ซึ่งได้มีการรวมองค์ความรู้ในด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการลงทุนแบบเชิงปริมาณ รวมถึงบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญมาไว้ในที่เดียว เพื่อทำการเลือกเครื่องมือทางการเงินไปจนถึงการจัดพอร์ตที่เหมาะสมให้ลูกค้าในแต่ละราย โดยพิจารณาทั้งในด้านผลตอบแทน ความเสี่ยง และข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งในต่างประเทศหน่วยงานประเภทนี้เป็นหน่วยงานหลักที่มีความสำคัญมากในการให้บริการลูกค้าในธุรกิจ Wealth Management
จากที่เรากำลังอยู่ในช่วงตอนปลายของวัฎจักรเศรษฐกิจเดิมและตลาดกำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจใหม่ เป็นจังหวะที่ตลาดถูกครอบงำโดยนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ดังนั้นการจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในปัจจุบันจึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งประสบการณ์การลงทุนที่ครอบคลุมในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ ความเข้าใจในภาพเศรษฐกิจมหภาคและการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางที่สำคัญๆ รวมทั้งความสามารถในการตีความข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่มีผลต่อการลงทุน ในช่วงเวลานี้เองที่เราต้องการคนที่เข้าใจวิธีคิดของธนาคารกลางสหรัฐฯ คนที่ผ่านการรู้ เห็น และลงมือ รวมถึงผ่านการทำงานบนเวทีโลก มาช่วยมอง Solution ที่ถูกที่ถูกเวลาให้กับลูกค้ากลุ่ม Wealth มาช่วยบริหารและแนะนำการลงทุนให้ลูกค้าแต่ละราย เพื่อมอบ Investment Solutions หรือทางออกของการลงทุนท่ามกลางภาวะการตัดสินใจที่นับว่ายากสำหรับนักลงทุนในเวลานี้
ในปีนี้โอกาสในการลงทุนจะถูกขยายเพิ่มขึ้นจากการที่นักลงทุนสามารถลงทุนในต่างประเทศ และการมีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนหลากหลายประเภทมากขึ้น เช่น การลงทุนในกองทุน Private Equity ซึ่งเป็นการลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้สามารถเพิ่มโอกาสในการลงทุนและสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากกลุ่มบริษัทที่ยังไม่ได้มีในตลาดหลักทรัพย์ได้ การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่อิงกับหลักทรัพย์ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั่งกองทุน ซึ่งทั้งหมดนี้หมายถึงทางเลือกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นแนวทางในการพัฒนาบริการพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่ม Wealth ในปีนี้คือการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (Investment Solutions) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะแต่ละราย ซึ่งแนวคิดการให้บริการนี้จะเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก (Become more customer centric) คือมีการบริหารพอร์ต ติดตาม ผลประกอบการ และปรับพอร์ตให้ลูกค้าแต่ละราย โดยคำนึงถึงความคาดหวังในผลตอบแทน ความเสี่ยง และข้อจำกัดเฉพาะรายบุคคล
ความสนใจ และสไตล์การลงทุนส่วนตัว
ความสนใจส่วนตัวของผมมีค่อนข้างหลากหลาย ผมเป็นคนชอบเรียนรู้เรื่องต่างๆ เวลาเจออะไรก็จะตื่นเต้นและสนใจ เนื่องจากอยากเข้าใจที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ เพราะผมเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุผลของมันเพียงแต่บางครั้งเราอาจจะไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ดนตรี ศิลปะ การเล่นกีฬา พฤติกรรมของคน ไปจนถึงการลงทุน การลงทุนมีความน่าสนใจเพราะเป็นการผสมผสานระหว่าง วิทยาศาสตร์ และศิลปะเข้าด้วยกัน โดยมีความเป็นวิทยาศาสตร์ในแง่ของการวิเคราะห์ และวิจัยปัจจัยต่างๆ รวมถึงผลกระทบต่อสินทรัพย์ ในขณะเดียวกันมีความเป็นศิลปะในแง่ของการต้องเข้าใจพฤติกรรม และอารมณ์ของมนุษย์ ในสภาวะที่แตกต่างกัน เช่น มนุษย์อาจมีความกลัวเป็นพิเศษในช่วงที่สินทรัพย์มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้การขยับของราคาอาจจะมากเกินความจำเป็น
แนวทางการลงทุนส่วนตัวของผมนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร ผมจะแยกเงินการลงทุนตามวัตถุประสงค์ เช่น ลงทุนเพื่อใช้ยามเกษียณ เพื่อการศึกษาของลูก หรือเพื่อหาโอกาสการลงทุนในระยะสั้น ซึ่งแต่ละวัตถุประสงค์ก็จะมีระยะเวลาในการลงทุน (Investment Horizon) ผลตอบแทนที่ต้องการ และความเสี่ยงที่สามารถรับได้แตกต่างกัน โดยส่วนตัวผมลงทุนแบบ Asset Allocation สำหรับการลงทุนที่มีระยะเวลาในการลงทุนนาน ผมเป็นคนเชื่อในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เป็นอย่างมาก เนื่องจากเราไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ได้แน่ชัด ในทางการเงิน Diversification ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก โดยศาสตราจารย์ Harry Markowitz ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ได้พูดว่า Diversification อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไร (Free Lunch)
วิธีการมองการลงทุนของผมจะมอง 2 หลักใหญ่ๆ คือ 1. การคาดการณ์ผลตอบแทนและ 2. การเข้าใจและควบคุมความเสี่ยง สำหรับการคาดการณ์ผลตอบแทนสามารถคิดได้ดังนี้ 1. ทิศทาง (Theme/Trend) ในอนาคต และ 2. ความเหมาะสมราคาสินทรัพย์ การมองทิศทางต้องอาศัยความเข้าใจทางด้านเศรษฐศาสตร์ และการปรับเปลี่ยนของโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจ ส่วนการมองด้านราคาสินทรัพย์ต้องมีความเข้าใจในแง่ของการ กำหนดราคา (Pricing) การลงทุนที่ดีจึงเป็นการลงทุนตามทิศทาง และในราคาสินทรัพย์ที่ถูกซึ่งจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่สูงมาก
อีกส่วนที่สำคัญในการลงทุนคือการเข้าใจ และควบคุมความเสี่ยง โดยสิ่งที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าเรา Take Bet อะไร และมีความเสี่ยงแค่ไหน รวมทั้งเข้าใจความน่าจะเป็นที่จะกำไรหรือขาดทุน โดยเฉพาะโอกาสขาดทุนมากที่สุด (Worst Case Scenario) ผมคิดว่าโดยทั่วไปเราให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเข้าใจและควบคุมความเสี่ยงไม่มากพอ ทั้งนี้อาจจะมาจากความรู้สึกว่าการควบคุมความเสี่ยงทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยลง แต่จริงๆ แล้วเราจะพบว่าถ้าเราสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ จะทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวดีขึ้นมาก สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คือศาสตร์ในการเข้าใจและควบคุมความเสี่ยง ซึ่งได้มีการพัฒนาไปค่อนข้างสูงมากและมีความแม่นยำสูงกว่าการคาดการณ์ผลตอบแทน ดังนั้นผมคิดว่านักลงทุนจะสามารถบริหารพอร์ตได้ดีขึ้นหากมีการให้ความสำคัญกับเรื่องความเสี่ยงที่มากขึ้นควบคู่กันไปด้วย
ผมขอแสดงตัวอย่างความสำคัญของการลดความเสี่ยงหรืออาจหมายถึงการลดผลขาดทุนของผลตอบแทนของเรา รูปด้านล่างแสดงผลกำไรที่ต้องทำกลับมาจากการขาดทุนในแต่ละระดับ ตัวอย่างเช่น เวลาเราขาดทุน 1% เราต้องการผลตอบแทนประมาณ 1% เพื่อจะทำให้กลับมาเท่าทุน แต่เมื่อเราขาดทุนมากขึ้นเราจะต้องการผลกำไรที่สูงขึ้นมากๆ เพื่อจะทำให้กลับมาเท่าทุน เช่นถ้าเราขาดทุน 50% เราต้องการผลกำไรถึง 100% เพื่อจะทำให้เรากลับมาเท่าทุน ดังนั้นจากรูปข้างล่างคงจะพอเห็นภาพแล้วว่าถ้าเราสามารถลดผลขาดทุนได้จะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยมากในการหาผลกำไรเพื่อจะกลับมาเท่าทุน พูดง่ายๆ ก็คือ “ถ้าไม่เจ๊งเยอะ จะไม่เหนื่อยมากตอนขากลับ”

ถ้าสนใจเรื่องการลดความเสี่ยงแต่ยังไม่มีความรู้ เริ่มต้นอย่างไรดี

นอกจากการคาดการณ์ผลตอบแทนและการควบคุมความเสี่ยงแล้ว การให้เวลาในการหาผลตอบแทนแบบทบต้น (Compound Interest) เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนของผมเช่นเดียวกัน เนื่องจากการหาผลตอบแทนระดับสูงให้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ นั้นมีความยาก แต่ถ้าให้เวลากับการลงทุน ถึงแม้ว่าผลตอบแทนต่อปีอาจจะไม่สูง เราก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงได้ เช่น จากเงินเริ่มต้น 10,000 บาท ถ้าเราได้ผลตอบแทนปีละ 5% (10%) ก็สามารถกลายเป็นประมาณ 26,533 (67,275) บาทได้ ภายในระยะเวลา 20 ปี โดยประโยชน์ของผลตอบแทนแบบทบต้นนั้น Albert Einstein ได้เคยกล่าวไว้ว่าเสมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก

บทเรียนจากการลงทุน
บทเรียนที่สำคัญจากการลงทุนคือ การเข้าใจและให้ความสำคัญกับภาพใหญ่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน การดำเนินนโยบายของรัฐ และธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมทั้งด้านการเมืองซึ่งจะมีผลต่อการลงทุน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจขยายตัว รวมทั้งยังมีการสนับสนุนจากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนปรนจากธนาคารกลางประเทศหลักๆ เป็นผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นสภาวะการลงทุนทำได้ยากมาก วิธีการลงทุนที่เคยใช้ได้ดีในอดีตมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ กล่าวคือเราอยู่ในช่วงตอนปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจเดิมและกำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจใหม่ความกังวลว่าธนาคารกลางประเทศหลักๆ จะลดการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนปรน อีกทั้งยังมีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศเข้ามามีผลกับตลาดการเงิน ตัวอย่างที่สำคัญ คือราคาสินทรัพย์ตราสารทุน และตราสารหนี้มีการขยับไปในทิศทางเดียวกันซึ่งในอดีตแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ทั้งนี้มาจากสาเหตุที่นักลงทุนมีความกังวลว่าธนาคารกลางประเทศหลักๆ จะลดการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนปรน อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราไม่สามารถใช้เพียงแค่ข้อมูลในอดีตมาทำการวิเคราะห์แล้วหากลยุทธ์การลงทุน แต่ต้องมีการคำนึงถึงภาพใหญ่โดยรวมด้วย
*ให้บริการโดยบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร บทความนี้ไม่ถือเป็นการให้คำแนะนำหรือให้คำปรึกษาใดๆ กรุณาติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการเพิ่มเติมได้ที่ 02 305 9559
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง >>> Phatra Smart MV <<<
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง >>> Phatra GIS <<<