Money

รู้จัก “พอร์ตหุ้น” 4 ประเภท
เพื่อการเก็บเงินล้านที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น!!

Post by | Admin

port-1-million-thumbnail

หลายๆคนที่ทำงานหนักจนสามารถมีเงินเก็บได้ถึง 1 ล้านบาท คงไม่อยากจะฝากไว้ในธนาคารเพื่อรอรับดอกเบี้ยเฉยๆ การลงทุนกับตลาดหุ้นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากคนหมู่มาก ที่อยากจะสร้างกำไรจากเงินเก็บของตัวเอง ทุกคนรู้ดีว่าการฝากเงินกับธนาคารนั้นได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน และมีความเสี่ยงต่ำมากหรือแทบจะไม่มีเลย แต่การลงทุนกับตลาดทุนนั้น ผู้ลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นเท่าตัว แต่นั่นก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากตามเสมอ เช่นคำพูดที่ว่า high risk, high return เพราะฉะนั้นหากตัดสินใจที่จะลงทุนในตลาดทุนแล้ว นักลงทุนที่ดีนั้นควรที่จะศึกษาเกี่ยวกับตลาดทุนให้ดีเสียก่อน และพร้อมที่จะยอมรับกับความเสี่ยงที่จะตามมา สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่นักลงทุนที่ดีควรทำนั้น นั่นก็คือ การสำรวจตัวเองว่าเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนแบบไหน และสามารถรับความเสี่ยงได้มากเพียงใด

หลายๆคนที่ทำงานหนักจนสามารถมีเงินเก็บได้ถึง 1 ล้านบาท คงไม่อยากจะฝากไว้ในธนาคารเพื่อรอรับดอกเบี้ยเฉยๆ การลงทุนกับตลาดหุ้นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากคนหมู่มาก ที่อยากจะสร้างกำไรจากเงินเก็บของตัวเอง ทุกคนรู้ดีว่าการฝากเงินกับธนาคารนั้นได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน และมีความเสี่ยงต่ำมากหรือแทบจะไม่มีเลย แต่การลงทุนกับตลาดทุนนั้น ผู้ลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นเท่าตัว แต่นั่นก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากตามเสมอ เช่นคำพูดที่ว่า high risk, high return เพราะฉะนั้นหากตัดสินใจที่จะลงทุนในตลาดทุนแล้ว นักลงทุนที่ดีนั้นควรที่จะศึกษาเกี่ยวกับตลาดทุนให้ดีเสียก่อน และพร้อมที่จะยอมรับกับความเสี่ยงที่จะตามมา สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่นักลงทุนที่ดีควรทำนั้น นั่นก็คือ การสำรวจตัวเองว่าเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนแบบไหน และสามารถรับความเสี่ยงได้มากเพียงใด

สไตล์ของนักลงทุนในตลาดทุนนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ value, growth และ blend investing style ซึ่งในแต่ละสไตล์ นอกจากจะมีการเลือกหุ้นที่แตกต่างกันแล้ว ยังให้ความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย

1. Value investing style หรือ การลงทุนหุ้นลักษณะหุ้นคุณค่า - หุ้นคุณค่า หรือ Value stocks

นั้นสามารถอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆก็คือ เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมหรือราคาที่ควรจะเป็น ส่วนมากมีสาเหตุเนื่องมาจากเป็นบริษัทฯที่มีการเติบโตอย่างเต็มที่แล้ว ผลการดำเนินงานเติบโตไม่โดดเด่น ทำให้นักลงทุนเพิกเฉยไม่สนใจ เพราะฉะนั้นกิจการประเภทนี้จึงให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง เพราะว่ากำไรส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปใช้กับการขยายกิจการ ลักษณะสำคัญทางด้านปัจจัยพื้นฐานของหุ้นคุณค่า ได้แก่
  • อัตราการขยายตัวของสินทรัพย์ รายได้ และกำไร มีค่าต่ำ
  • อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือ Price/Earnings Ratio (P/E) มีค่าต่ำ
  • อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Price/Book Value Ratio (P/BV) มีค่าต่ำ
  • อัตราผลตอบแทนเงินปันผล หรือ Dividend Yield สูง

นักลงทุนลักษณะหุ้นคุณค่า หรือ Value stock investors นั้นยังสามารถแบ่งออกได้อีกเป็น 4 ประเภทย่อย ได้แก่
  • Intrinsic Value Investors นักลงทุนกลุ่มนี้พยายามหามูลค่าเหมาะสมของกิจการด้วยวิธีการคิดลดกระแสเงินสด
  • Relative Value Investors ใช้อัตราส่วนทางการเงินและปัจจัยพื้นฐานเพื่อหาบริษัทที่มีราคาถูกโดยเปรียบเทียบกับหุ้นอื่นๆ
  • Contrarian Investors นักลงทุนกลุ่มนี้ลงทุนในบริษัทฯที่คนส่วนใหญ่มองว่าย่ำแย่ในอดีตหรืออนาคต
  • Activist Value Investors ลงทุนบริษัทที่ผู้บริหารไร้ประสิทธิภาพ โดยจะพยายามเข้าไปเปลี่ยนนโยบายการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

การที่บริษัทฯนั้นมีลักษณะที่โตเต็มที่แล้ว ส่งผลให้ราคาตลาดมักมีความผันผวนต่ำ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือมีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง ทำให้การลงทุนหุ้นสไตล์ value นั้นเหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือไม่ชอบความเสี่ยงมากนักนั่นเอง

2. Growth investing style หรือ การลงทุนหุ้นลักษณะหุ้นเติบโต

การลงทุนสไตล์นี้นั้นตรงข้ามกับสไตล์แรกอย่างมาก เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้น Growth stocks หรือ หุ้นเติบโต ซึ่งเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาสูง นอกจากนั้นหุ้นประเภทนี้ยังเป็นหุ้นที่มาจากกิจการที่มีสัญญาณการขยายตัวของสินทรัพย์ รายได้ และกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมหรือตลาดโดยรวม ส่งผลให้หุ้นประเภทนี้มีความผันผวนของราคาอยู่มาก ดังนั้นการลงทุนสไตล์นี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้มาก ลักษณะสำคัญทางด้านปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเติบโต ได้แก่
  • อัตราการขยายตัวของสินทรัพย์ รายได้ และกำไร มีค่าสูง
  • อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือ Price/Earnings Ratio (P/E) มีค่าสูง
  • อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Price/Book Value Ratio (P/BV) มีค่าสูง
  • อัตราผลตอบแทนเงินปันผล หรือ Dividend Yield ต่ำ เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่จะนำกำไรไปลงทุนเพื่อขยายฐานธุรกิจต่อไป

3. Blend investing style หรือ การลงทุนหุ้นลักษณะผสม

การลงทุนสไตล์นี้คือการลงทุนที่ผสมผสานทั้งสองแบบแรกเข้าด้วยกัน พอร์ตของนักลงทุนแบบ blend นั้นประกอบไปด้วยหุ้นทั้งแบบ value และแบบ growth เนื่องจากผลตอบแทนจากหุุ้น value อาจน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับหุ้น growth ณ ช่วงเวลาหนึ่ง และนักลงทุนอาจมองว่าการถือหุ้น growth อย่างเดียวนั้นมีความเสี่ยงมากเกินไป นักลงทุนหลายคนจึงเลือกที่จะลงทุนกับหุ้นทั้งสองประเภท ทั้งนี้การตัดสินใจว่าจะลงทุนเน้นหุ้นประเภทใดอาจขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดโดยรวม ณ ตอนนั้น เช่น ถ้านักลงทุนมองว่าตลาดเป็นขาขึ้น นักลงทุนอาจเลือกลงทุนกับหุ้นประเภท growth เนื่องจากให้ผลตอบแทนมากกว่า แม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากก็ตาม แต่ถ้านักลงทุนมองว่าตลาดอยู่ในภาวะขาลง หรือ sideway นักลงทุนอาจเลือกลงทุนกับหุ้นประเภท value ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ถึงแม้ว่าตลาดจะลง แต่หุ้นประเภทนี้ก็จะลงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในตลาด

เนื่องด้วยนักลงทุนนั้นมีหลากหลายสไตล์ ทาง kktrade มีผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า Smart Port ที่สามารถตอบสนองนักลงทุนได้ทุกประเภท Smart Port นั้นคือพอร์ตการลงทุนที่จำลองขึ้นมา หุ้นแต่ละตัวเลือกโดยนักวิเคราะห์ของ kktrade ให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนหุ้นในสไตล์ต่างๆที่ตัวเองถนัดได้

Smart Port แบ่งออกเป็น 4 พอร์ตย่อย ได้แก่ พอร์ตหุ้นปันผล (Dividend Port), พอร์ตหุ้นเติบโต (Growth Port), พอร์ตควอนท์ (Quant Port) และ พอร์ตหุ้นเล่นรอบ (Trading Port) แต่ละพอร์ตนั้นจะมีหุ้นประมาณ 5-7 ตัว โดยที่สามพอร์ตแรกนั้น จะมีการ rebalance ทุกๆ 1 เดือนเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลา ส่วนพอร์ตหุ้นเล่นรอบนั้นจะปรับโดยเฉลี่ยประมาณอาทิตย์ละ 1 ครั้ง พอร์ตนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนระยะสั้นเท่านั้น

  • พอร์ตหุ้นปันผล หรือ Dividend Port นั้นเน้นหุ้นประเภทหุ้นคุณค่า ราคาหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตมีความผันผวนต่ำ เป็นพอร์ตที่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงมาก เน้นหุ้นที่ให้ปันผลมากไม่ควรต่ำกว่า 5% ต่อปี
  • พอร์ตหุ้นเติบโต หรือ Growth Port เน้นหุ้นประเภท Growth เป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์มองว่ามีอัตราการขยายตัวของกิจการสูง ราคาของหุ้นในพอร์ตนี้มีความผันผวนมาก นั่นหมายถึงในระยะเวลาสั้นๆ ราคาของหุ้นนั้นสามารถขึ้นได้มาก และก็สามารถปรับตัวลงได้มากเช่นกัน เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมหรือตลาดโดยรวม ดังนั้นพอร์ตหุ้นเติบโตนั้น จึงเหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้มาก ซึ่งตรงกันข้ามกับพอร์ตหุ้นปันผลนั่นเอง
  • พอร์ตควอนท์ หรือ Quant Port เป็นพอร์ตที่เหมาะกับนักลงทุนสไตล์ blend เนื่องจากประกอบด้วยหุ้น value และ growth ความพิเศษของพอร์ตนี้คือ เป็นพอร์ตที่มีระดับความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาด นั่นหมายถึงเมื่อสภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น พอร์ตนี้เน้นหุ้น growth หรือหุ้นที่มีความเสี่ยงมากๆ เพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่เมื่อสภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาลง หรือ sideway พอร์ตนี้เน้นหุ้นที่เป็นหุ้น value ซึ่งมีความผันผวนของราคาต่ำ เพื่อลดโอกาสในการขาดทุน
  • พอร์ตหุ้นเล่นรอบ หรือ Trading Port คือพอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่มีการเลือกจากนักกลยุทธ์ของ kktrade พอร์ตนี้มีการปรับพอร์ตค่อนข้างบ่อย ดังนั้นเหมาะกับนักลงทุนที่เป็นนักลงทุนระยะสั้นเท่านั้น

 สุดท้ายนี้ของฝากไว้ว่า การที่จะสร้างพอร์ตที่มั่นคงนั้น อาจมาจากการเป็นนักลงทุนที่มีวินัยที่มั่นคงด้วยเช่นกัน เมื่อหุ้นลงเราควรขายตัดขาดทุน หรือที่เรียกกันว่า cut loss และเมื่อหุ้นขึ้นไม่ควรรีบขายก่อนเวลาอันควร หรือ Let profit run เมื่อเราเป็นคนที่มีวินัยที่มั่นคงแล้ว เราก็มีโอกาสในการสร้างความมั่นคงด้วยเช่นกันค่ะ

แนะนำจากบทความ
25 ม.ค. 2562
ลงทุนกับเราตั้งเป้าได้เป็นล้าน : เริ่มต้นวางแผนเก็บเงินล้านแรกในชีวิต
Money
24 ม.ค. 2562
ลงทุนกับเราตั้งเป้าได้เป็นล้าน : 3 สเต็ปจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคง
Investment
26 ม.ค. 2565
Passion Investment เปย์อย่างไรให้ได้ทั้งความสุขและต่อยอดเป็นการลงทุน
Money
28 ก.ย. 2564
Active Fund vs Passive Fund เลือกลงทุนแบบไหนดี
Investment