Money

เส้นทางสู่เงินล้านอย่างมั่นคงด้วยกองทุนตลาดเงิน

Post by | Admin

financial-market-thumbnail

องค์ประกอบที่สำคัญในพอร์ตการลงทุนทั่วไปที่จะเป็นตัวสร้างความมั่นคงให้กับเงินลงทุนคือการลงทุนประเภท Income Investment หรือการลงทุนที่เน้นผลตอบแทนจากดอกเบี้ยหรือเงินปันผล เนื่องจากมีความแน่นอนมากกว่าการคาดหวังผลตอบแทนจากการปรับขึ้นของราคาตราสารเพียงอย่างเดียว และในบรรดา Income Investment ทั้งหมด กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน (Money market fund) จัดได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีเสถียรภาพสูงที่สุด เนื่องจากมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเช่นตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรระยะสั้นของแบงก์ชาติ, เงินฝาก หรือตั๋วเงินของธนาคารและบริษัทเอกชน เป็นต้น โดยทางการกำหนดว่าอายุเฉลี่ยของตราสารในพอร์ตต้องไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งทำให้มูลค่าของหน่วยลงทุน (NAV) มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตราสารระยะยาว นอกจากนั้นอายุของตราสารที่สั้นทำให้กองทุนตราสารตลาดเงินมีสภาพคล่องสูงและโดยทั่วไปสามารถคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วยในวันทำการถัดจากวันที่ส่งคำสั่งขาย (T+1) ด้วยลักษณะดังกล่าวกองทุนตลาดเงินจึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้แทนเงินฝากออมทรัพย์ แม้ตอนไถ่ถอนจะได้เงินช้ากว่าอยู่ 1 วัน แต่อัตราผลตอบแทนโดยทั่วไปจะสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนสำหรับนักลงทุนบุคคล

อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดที่ต้องรักษาอายุเฉลี่ยของตราสารที่ไม่เกิน 3 เดือน ทำให้ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มสำหรับกองทุนตลาดเงินมีค่อนข้างจำกัด ในระยะหลังเราจะเห็นได้ว่ามีกองทุนในลักษณะใหม่ออกมาซึ่งหลายคนเรียกว่า “พลัสฟันด์” (Plus fund) กองทุนประเภทนี้จดทะเบียนเป็นกองทุนตราสารหนี้ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ แต่มีเป้าหมายที่จะควบคุมความผันผวนของ NAV ไม่ให้สูงกว่ากองทุนตลาดเงินมากนัก และรองรับการไถ่ถอนแบบ T+1 ได้ แม้ว่า “พลัสฟันด์” จะไม่ได้รับการจัดประเภทอย่างเป็นทางการแต่กลับเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงมากในระยะหลังและถูกนำมาใช้แทนกองทุนตลาดเงินอย่างแพร่หลาย นอกจากความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ได้สร้างความได้เปรียบในการลงทุนอีกหลายประการเช่น 1) การกระจายไปลงทุนในต่างประเทศ (ซึ่งโดยทั่วไปมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน), 2) ความสามารถในการลดสัดส่วนตราสารสภาพคล่องสูงซึ่งปรกติให้ผลตอบแทนต่ำ โดยที่ยังสามารถรองรับการไถ่ถอนในปริมาณมากๆได้ และ 3) การเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประจำซึ่งให้ผลตอบแทนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มความผันผวนให้กับกองทุน นอกจากนั้นการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในกองทุนประเภทนี้ ก็ทำให้ค่าธรรมเนียมกองทุนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำซึ่งหมายความว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น จากการประเมินของบล.ภัทร “พลัสฟันด์” ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำเป็นอันดับต้นๆ สามารถให้ผลตอบแทนสุทธิสูงกว่ากองทุนตลาดเงินได้ประมาณ 0.40% -0.50% ต่อปี ซึ่งนับว่าน่าสนใจในภาวะที่ดอกเบี้ยนโยบายบ้านเราตอนนี้อยู่ที่ 1.50% อย่างไรก็ตามไม่ใช่ “พลัสฟันด์” ทุกกองจะสามารถรักษาระดับความผันผวนได้ใกล้เคียงกับกองทุนตลาดเงิน นักลงทุนที่สนใจควรรับคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินของท่านในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกกองทุนตลาดเงินหรือ “พลัสฟันด์” ที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละท่าน

 

แม้ว่าจะขยับมาลงทุนใน “พลัสฟันด์” ผลตอบแทนที่ได้รับก็ยังค่อนข้างต่ำกว่าในอดีตมากเนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับที่เกือบจะต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์และมีโอกาสที่จะอยู่ในระดับต่ำอย่างนี้ไปอีกพักใหญ่ การให้น้ำหนักการลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือ “พลัสฟันด์” ที่มากเกินไปอาจจะเป็นตัวฉุดผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ต ในคราวหน้าเราจะมาทำความรู้จักกับ Income Investment ที่สำคัญอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือ การลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นแต่ก็เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนมากขึ้นเช่นกัน

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

 

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม