Money

ข้อดีข้อเสีย รถอีโคคาร์ (ECO Cars)

Post by | Admin

eco-car-thumbnail

สำหรับผู้ใช้รถยนต์แล้ว นอกจากค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วค่าน้ำมันถือเป็นตัวดูดเงินออกจากกระเป๋าที่สำคัญตัวหนึ่งที่เดียว ยิ่งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดก็ทำให้ผู้ใช้รถอย่างเราต้องหันมาใสใจในการหาวิธีเพื่อจะประหยัดเงินในส่วนนี้กันมากขึ้น

ทางเลือกในการประหยัดก็มีอยู่หลายรูปแบบ แต่ทุกแบบย่อมมีการลงทุนให้ได้มา ดังนั้นเราจะต้องคิดให้รอบคอบว่าจะประหยัดได้คุ้มกับที่ลงทุนไปหรือไม่

 

อีโคคาร์เป็นหนึ่งทางเลือกของรถประหยัดน้ำมัน ด้วยมาตรฐานเครื่องยนต์ขนาด 1,300 cc สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และ 1,400 cc เครื่องยนต์ดีเซล รวมถึงอัตราการใช้น้ำมัน 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร (คิดง่ายๆ ก็คือ น้ำมัน 1 ลิตรรถอีโคคาร์สามารถวิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร ถ้าเพื่อนๆ มีระยะทางเฉลี่ยที่ต้องเดินทางทุกวันอยู่แล้วก็ลองเอาตัวเลขนั้นมาคำณวนดู ก็จะได้ค่าน้ำมันคร่าวๆ ที่เราต้องจ่าย) และด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่ดี และรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้รถอีโคคาร์เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

 

ข้อดีของรถอีโคคาร์ คือ

  1. น้ำมัน 1 ลิตรรถอีโคคาร์สามารถวิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร
  2. ค่าบำรุงรักษาต่ำเนื่องจากมีจำนวนอะไหล่น้อยชิ้นกว่ารถประเภทอื่น
  3. มีความคล่องตัวสูง เหมาะกับการขับขี่ในเมือง
  4. เนื่องจากมีขนาดที่กะทัดรัด ทำให้หาที่จอดได้ง่าย
  5. สร้างมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมน้อย

 

ข้อเสียของรถอีโคคาร์ คือ

  1. ขนาดห้องโดยสารเล็ก ทำให้ขนคน ขนสัมภาระได้น้อย
  2. ไม่เหมาะกับการขับไกลๆ

 

ถือว่าเป็นรถขนาดเล็ก ที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง ที่ประหยัดและคล่องตัว หาที่จอดง่าย แต่ด้วยขนาดที่เล็กก็ทำให้ห้องโดยสารและพื้นที่สำหรับขนสัมภาระมีน้อยลงไปด้วย

 

ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถอีโคคาร์ เพื่อนๆ ควรจะถามตัวเองก่อนว่า เป็นคนรักรถเล็กหรือเปล่า ใช้ออกต่างหวัดบ้างไหม แล้วปกติมีเพื่อนร่วมทางกี่คน เพราะเราจะเอาประหยัดอย่างเดียวไม่ได้ต้องเหมาะสมกับการใช้งานของเราด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.cartips2u.com

แนวโน้มของราคาทอง

มั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม

 

ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้วถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากกว่าปัจจุบัน

สรุปทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม